แม้จะเป็นเวลาหลายทศวรรษที่อิสราเอลเป็นศัตรูของชาติอาหรับ ทว่าในวันนี้บางผู้นำชาติอาหรับกำลังดิ้นรนและพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอิสราเอล เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจกับอิหร่าน
หากเปรียบเทียบความสามารถด้านการเงินและเศรษฐกิจของหลายประเทศเหล่านี้กับอิหร่านรัฐเดียวแล้ว เราจะพบว่า อิหร่านจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป็นอย่างมาก
และถ้าเราต้องการเปรียบเทียบอุปกรณ์เครื่องมือทางทหารของประเทศเหล่านี้ กับสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารของอิหร่านแล้ว เช่นเดียวกัน เราจะพบว่าตามมาตรฐานทางทหารแล้ว ถือว่าอิหร่านมีความด้อยกว่าในทุกด้าน
การพิจารณาจากอาวุธที่ซาอุดีอาระเบียซื้อมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประการเดียว ก็เพียงพอสำหรับการดูว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำการเปรียบเทียบได้เลย
มันเป็นการเพียงพอแล้ว หากพิจารณาเปรียบเทียบงบประมาณทางทหารทั้งหมดในปีนี้ของอิหร่าน ซึ่งอยู่ที่ 9 พันล้านดอลลาร์ ส่วนซาอุดีอาระเบียทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเป็นทางการมูลค่าหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อเทียบระบบขีปนาวุธ ซาอุดิอาระเบียมีขีปนาวุธจากของจีนที่มีพิสัยไกลกว่า 2,500 กิโลเมตร
หากพิจารณาเปรียบเทียบในด้านเครื่องบินรบและรถถัง ซาอุดิอาระเบียก็มีความทันสมัยที่สุด
ตอนนี้ถ้าเราผนวกขีดความสามารถของอิสราเอลเข้าไปด้วย ซึ่งเราเห็นแล้วว่าประเทศนี้มีระเบิดนิวเคลียร์นับร้อยลูกที่สามารถทำลายได้ไม่เพียงแต่ในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกทั้งใบด้วย ซึ่งแม้แต่อุปกรณ์อาวุธภาคพื้นดินและทะเลที่ทันสมัยที่สุดของอเมริกาก็ต้องชิดซ้าย
อิหร่านในช่วงห้าศตวรรษที่ผ่านมา ไม่ได้เริ่มต้นสงครามแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล ทั้งสองประเทศได้เปิดตัวสงครามหลายต่อหลายครั้ง ร่วมถึงมีการริเริ่มปฏิบัติการทางทหารอื่นๆอีกมากมาย … หากเสริมไปด้วยกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกาเข้าไปด้วยแล้ว แม้ในวันนี้จะยังไม่ได้ต่อสู้และทำสงครามใดๆนับจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และสงคราม แต่เราก็สามารถสัมผัสได้ว่า มีกองกำลังที่แข็งแกร่งและประสิทธิภาพอยู่ข้างหน้าอิหร่าน ซึ่งไม่อาจจะบรรยายได้
ดังนั้นไม่ว่าจะทำการเปรียบเทียบในเรื่องใดก็ตาม เราควรกล่าวว่าอิหร่านต่างหากที่สมควรต้องหวั่นเกรงกับอิทธิพลของฝ่ายตรงกันข้าม
แต่ในทางกลับกัน เรากลับรับรู้ว่า พวกเขาเหล่านั้นมีความหวาดกลัวไปยังอิทธิพลของอิหร่านอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เรากลับไม่เคยได้ยินเลยว่า อิหร่านกลัวพันธมิตรของพวกเขา….!
ทำไม ?
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดสงครามแปดปีที่ ซัดดัม ฮุสเซ็น ได้ก่อขึ้นกับอิหร่าน เขาไม่เคยถอดชุดเครื่องแบบทหารออกเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อเขามีความขัดแย้งกับพี่น้องอาหรับของเขา เขากลับปรากฏตัวในชุดสูทที่ดูเรียบร้อย เป็นทางการ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า ทำไมไม่แต่งเครื่องแบบทหาร ? เขาได้ตอบว่า “ฉันไม่เห็นวีรบุรุษและนักรบคนใดเลยที่ยืนเผชิญหน้ากับฉัน ที่ทำให้ฉันต้องสวมชุดนักรบ”
มันคือความจริงที่ว่า อาวุธมีบทบาทใหญ่ และสำคัญในสนามรบ แต่ทว่าบทบาทแรกที่มีความสำคัญยิ่งกว่า นั้นคือเหล่านักรบและเหล่าทหารไม่ใช่อาวุธ
ถ้าหากอาวุธที่สหรัฐฯ อิสราเอลและซาอุดีอาระเบียมีอยู่ในครอบครองสามารถสร้างความแข็งแกร่ง โดยไม่มีวันพ่ายแพ้แต่อย่างใดแล้ว ไฉนอิสราเอลต้องพบกับความปราชัยอย่างอัปยศต่อฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน ทำไมซาอุดิอาระเบียต้องพ่ายแพ้ในเยเมนหรือทำไมทหารอเมริกันต้องยอมสยบในการเผชิญหน้ากับอิหร่านในอ่าวเปอร์เซีย
แน่นอนว่าไม่มีประเทศใดที่ต้องการจะเข้าสู่สงคราม เพราะสงครามเป็นอันตรายต่อทุกคน แต่ทุกคนรู้ดีว่าสงครามกับอิหร่านจะไม่สนุกสำหรับพวกเขา และอิหร่านอาจโจมตีประเทศหนึ่งประเทศใดก็ได้ ซึ่งมันจะก่อให้เกิดความพินาศย่อยยับไปทั่วตะวันออกกลาง
เราเห็นว่าสหรัฐฯได้พยายามที่จะต่อสู้กับ ISIS เป็นเวลาห้าปีพร้อมกับ 65 ประเทศ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทว่าเมื่ออิหร่านตัดสินใจที่จะกำจัดไอซิสและทำการระดมพันธมิตรของพวกเขา เรากลับพบว่า ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี ไอซิส ก็สามารถถูกกำจัดและปราบปรามจนหมดสิ้นไปจากตะวันออกกลาง
สาเหตุของเรื่องนี้ เป็นไปได้ว่า ไอซิสใช้การรบแบบกองโจรกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งไม่มีกองทัพใดเว้นแต่อิหร่านที่สามารถต่อสู้เพื่อรับมือกับลักษณะปฏิบัติการเช่นนี้ได้
ในความเป็นจริง ฮิซบุลลอฮ์และกองกำลังในปาเลสไตน์ก็สามารถกำชัยชนะเหนือสงครามแบบกองโจรของอิสราเอลมาแล้ว และกลุ่มอันศอรรุลลอฮ์เยเมนก็เช่นกัน ได้ทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องพบกับความพ่ายแพ้
บางที หลายฝ่ายอาจไม่ทราบว่าสงครามแบบกองโจรเป็นความคิดริเริ่มของชาวอิหร่านในอดีต จึงมีการเรียกว่า นักรบกองโจร ในสงครามที่สองฝ่ายไม่เสมอภาคกัน และฝ่ายศัตรูมีจำนวนที่มากและแข็งแกร่งกว่า โดยใช้ยุทธ์วิธีแบบนี้ในการสร้างความพ่ายแพ้ให้กับศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามของตน และชื่อของรูปแบบนี้ก็เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ต่อมาว่าเป็นสงครามนอกแบบรูปแบบหนึ่ง
ศัตรูของอิหร่านตระหนักดีว่า หากพวกเขาต้องการที่จะเผชิญหน้ากับอิหร่านโดยวิธีใดๆ ก็ตาม อิหร่านจะต่อสู้กับพวกเขาแบบสงครามกองโจรทั่วทั้งภูมิภาค และกำลังของพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกทำลายอย่างช้าๆ
ถ้าหากชาติอาหรับบางคน คิดว่าการเป็นพันธมิตรกับอิสราเอลอาจส่งผลต่อการอยู่รอดของพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง และล็อบบี้ยิสต์อิสราเอลในสหรัฐอเมริกาก็จะดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พวกเขา มันเป็นสิ่งที่ดีหากจะเตือนพวกเขาว่า กษัตริย์ชาห์เคยเป็นพันธมิตรของอิสราเอล แล้วคิดหรือว่าการเป็นมิตรกับอิสราเอลนั้นจะสามารถช่วยเหลือให้เขาอยู่รอดได้?
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า แทนที่คิดจะฝากความหวังกับศัตรูชาติมุสลิม อาหรับควรหันมาจับมือกับอิหร่านเป็นการดีกว่าและไม่คิดที่เสี่ยงภัยอีกครั้ง
Source: ir.sputniknews