Times of India: ผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวน ฺฺBBC อ้าง ผู้ก่อการร้าย ISIS หลายร้อยรายถูกลักลอบนำออกจากเมืองรักคา ประเทศซีเรีย เมื่อเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่กระทำขึ้นระหว่างกองทัพสหรัฐฯและกองทัพสหราชอาณาจักร
สารคดี BBC เรื่อง ‘Dirty Secret of Raqqa’ (ความลับสกปรกแห่งเมืองรักคา) ชี้ว่า นักรบ ISIS และครอบครัวของพวกเขาถูกอพยพอย่างซ่อนเร้นโดยกองกำลังอเมริกัน อังกฤษ และกองกำลังติดอาวุธเคิร์ดท้องถิ่น จากเมืองหลวง (ตามที่ถูกกล่าวอ้างสิทธิ์) ของกลุ่มผู้ก่อการร้าย ภายหลังจากที่เมืองถูกโจมตีด้วยระเบิด ในเดือนตุลาคม
ทั้งนี้นักรบชาวต่างชาติที่เข้าร่วมกับ ISIS ซึ่งไม่ใช่ชาวซีเรีย และอิรัก ก็สามารถเข้าร่วมขบวนคุ้มกัน สำหรับการอพยพหนีนี้ได้เช่นกัน
“มีชาวต่างชาติจำนวนมาก ที่มาจากฝรั่งเศส ตุรกี อาเซอร์ไบจาน ปากีสถาน เยเมน ซาอุดิอาระเบีย จีน ตูนิเซีย อียิปต์” คนขับรถท้องถิ่นบอกกับบีบีซี
รายงานอธิบายถึง วิธีการที่ขบวนคุ้มกันของรถบรรทุก ซึ่งได้บรรทุกเครื่องบินสู้รบ 250 ลำ สมาชิกครอบครัวอีก 3,500 คน พร้อมด้วยอาวุธและทรัพย์สินจำนวนมาก ถูกจัดเตรียมขึ้นสำหรับการอพยพหนี ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในการประชุมที่มีเจ้าหน้าที่ตะวันตก (อเมริกา และอังกฤษ) เข้าร่วมด้วย
เป้าหมาย คือการช่วยชีวิตกองกำลังโจมตี และยุติการสู้รบนานถึงสี่เดือนเพื่อแย่งชิงเมืองรักคา ซึ่งเป็นที่มั่นสำคัญของเครือข่ายผู้ก่อการร้าย
“ความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ถูกซ่อนเอาไว้จากประชาคมโลก ทว่า BBC ได้พูดคุยกับ คนหลายสิบคน ที่อยู่ในขบวนรถ หรือไม่ ก็กับผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์การอพยพ และกับบุคคล ผู้ที่ทำหน้าที่เจรจาข้อตกลง” – ผู้ผลิตสารคดีกล่าวอ้าง
ทั้งนี้ กองกำลังติดอาวุธประชาธิปไตยซีเรียนำโดยชาวเคิร์ด (SDF) กลุ่มก่อการร้าย ที่เป็นพันธมิตรของอัลกออิดะห์ที่อเมริกาสนับสนุน ได้จัดการไล่บรรดาผู้สื่อข่าวออกจากเมืองรักคา เพื่อให้ ISIS สามารถหลบหนีออกจากฐานทัพของพวกเขาได้ โดยไม่ถูกถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หรือมีรายงานข่าวอะไรหลุดออกมา
พวกเขาอ้างว่า มีเพียงนักรบไม่กี่สิบคน ที่สามารถหลบหนีออกมาได้ โดยทั้งหมดเป็นคนท้องถิ่น
แต่คนขับรถท้องถิ่น ที่ได้รับการว่าจ้างเป็นเงินดอลลาร์ แลกเปลี่ยนกับเงื่อนไขให้ปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ กลับบอกกับ BBC ในทางตรงกันข้าม คนขับรถกล่าวว่า ขบวนรถดังกล่าว วิ่งอยู่บนถนนที่มีระยะทางประมาณ 6 ถึง 7 กิโลเมตร และการหลบหนี ก็มีรถบรรทุกรองรับ เป็นจำนวนเกือบกว่า 50 คัน รถเมล์อีก 13 คัน และยานพาหนะของ ISIS เองอีกมากกว่า 100 คัน
นอกจากนี้ เขายังบอกอีกว่า บรรดานักรบผู้อพยพเหล่านั้น จะปกคลุมใบหน้า และจะนั่งอยู่เหนือยานพาหนะบางคันอย่างยโส
“คลิปภาพที่แอบถ่ายได้ และส่งต่อให้เรา แสดงให้เห็นรถบรรทุกลากจูง ที่อัดแน่นไปด้วยชายติดอาวุธ แม้จะมีข้อตกลงที่จะให้ข้นย้ายได้เฉพาะอาวุธป้องกันประจำบุคคล แต่นักรบ IS กลับนำเอาทุกอย่างที่พวกเขาสามารถบรรทุกได้ออกมา มีรถกว่าสิบคัน ถูกโหลดให้เต็มไปด้วยอาวุธและกระสุน” – รายงานกล่าว
SDF ไม่ต้องการให้การล่าถอยจาก Raqqa ดูเหมือนกับการหลบหนีไปสู่ชัยชนะ
ข้อตกลงที่กระทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ระบุเงื่อนไข ไม่อนุญาตให้มีธงหรือแบนเนอร์ถูกชูขึ้นจากขบวนคุ้มกันขณะที่มันเคลื่อนออกจากเมืองรักคา
ในแง่ของการสืบสวนของ BBC ฝ่ายสัมพันธมิตรของสหรัฐฯที่สู้รบอยู่ในซีเรีย ได้ยอมรับถึงบทบาทที่พวกเขาเล่นในข้อตกลงนี้
“เราไม่ต้องการให้ใครออกไป แต่นี่เป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ของเรา” ด้วยกับและผ่านทาง “ผู้นำท้องถิ่นที่ประจำการอยู่ที่นั่น สถานการณ์มันลงมาที่ชาวซีเรีย – พวกเขาเป็นคนที่ต่อสู้ และตายเพื่อสิ่งนี้ พวกเขามีสิทธิ์ในการตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการ” – พันเอก Ryan Dillon โฆษกสำหรับปฏิบัติการแก้ปัญหาถาวร” (Operation Inherent Resolve) ซึ่งเป็นพันธมิตรในการต่อต้าน ISIS ของรัฐบาลตะวันตกกล่าว
เขายืนยันสิ่งนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตะวันตกคนหนึ่งได้ถูกนำเสนอสำหรับให้เข้าร่วมการเจรจา พวกเขาไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญมาก ในระหว่างการอภิปราย และมีเพียงนักรบจากต่างประเทศ 4 คนเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้หนีออกไปกับขบวนรถ และขณะนี้พวกเขาอยู่ในความดูแลของ SDF
ตามที่ระบุในรายงานดังกล่าว ข้อตกลงเพื่อปลดปล่อยนักรบ ISIS เป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นผู้นำการต่อสู้ และชุมชนอาหรับที่ล้อมรอบพวกเขา และเพื่อลดจำนวนผู้เสียชีวิต
รายงานของบีบีซีระบุว่า “นักรบ ISIS ถูกส่งตัวอย่างดีไปยังโรงพยาบาลและสนามกีฬาของเมือง ความพยายามใดก็ตาม เพื่อขับไล่พวกเขาออกไป จะต้องเต็มไปด้วยการหนองเลือด และเป็นไปอย่างยืดเยื้อ”
“แต่นี่ก็ให้ความหมายในอีกประเด็นหนึ่งว่า กลุ่มก่อการร้ายที่ต่อสู้กันอย่างรุนแรง ณ บัดนี้ได้แผ่กระจายไปทั่วซีเรีย และไกลออกไป – และหลายคนจากพวกเขา ก็ยังไม่ยุติการต่อสู้” – รายงานกล่าวเสริม
ในขณะเดียวกัน SDF ก็ยังคงยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น