ในขณะที่ชาวอเมริกันรับรู้ดีว่า สหรัฐฯกำลังทำสงครามกับต่างประเทศ เช่น ประเทศอิรัก ซีเรีย และอัฟกานิสถาน เพราะสื่อมวลชนล้วนให้ความสำคัญไปยังความขัดแย้ง ณ ที่ต่างๆเหล่านั้น
อย่างไรก็ดี ข่าวการตายของนายทหารสหรัฐฯ 4 นาย ที่ถูกสังหารในสาธารณรัฐไนเจอร์กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ ด้วยกับคำถามคาใจที่ว่า “แล้วสหรัฐฯไปทำสงครามในแอฟริกาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
สิบเอก La David Johnson จ่าสิบตรี Bryan Black, จ่าสิบตรี Jeremiah Johnson และจ่าสิบตรี Dustin Wright ถูกสังหารในวันที่ 4 ตุลาคม หลังจากที่ทีมของพวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดย “กลุ่มก่อการร้ายในเครือ ISIS ซึ่งเดินทางโดยรถบรรทุก ขนอาวุธขนาดเล็ก และเครื่องยิงระเบิดซึ่งขับเคลื่อนด้วยจรวด (RPG)”
อดีตสมาชิกสภาคองเกรสแห่งรัฐเท็กซัส รอน พอล (Ron Paul) ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว และตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งสงครามที่สหรัฐฯกำลังสู้รบโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส และมันคือสงคราม ซึ่งประกอบด้วยการปรากฎตนของกองกำลังสหรัฐใน 53 ประเทศ จาก 54 ประเทศในแอฟริกา
ขณะที่กระทรวงกลาโหม และคณะบริหารต่างต้องเผชิญกับความกดดันบางประการ “คุณรู้ไหม แทนที่จะมีเพียงทหาร 100 นายอยู่ที่นั่น พวกเขายอมรับว่า มีคนของเรากว่า 6,000 คนอยู่ในแอฟริกา…พวกเขากล่าวว่า ‘เรามีทหารอยู่ใน 53 ประเทศ จาก 54 ประเทศในแอฟริกา‘ นั่นคือพื้นที่ที่กว้างขวางมาก ” – พอลกล่าว
ทั้งนี้ สมาชิกวุฒิสภารัฐเซาท์แคโรไลนา ลินด์ซี่ย์ เกรแฮม (Lindsey Graham) หนึ่งในผู้อุทิศตนให้แก่ผลประโยชน์จากสงคราม และคณะกรรมการวุฒิสภาราชการทหาร แรกเริ่มยอมรับว่า เขาไม่ได้ตระหนักรู้ว่า กองทัพสหรัฐฯ มีกองกำลังอยู่ในสาธารรัฐไนเจอร์ กระทั่งข่าวการโจมตีดังกล่าวปรากฏขึ้น โดยการนี้ เขาได้ให้คำมั่นโดยทันทีว่า จะสนับสนุนอีกความขัดแย้งทางทหารที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้สร้างขึ้น
“สงครามกำลังแปรเปลี่ยนไป” เกรแฮมกล่าว “คุณจะเห็นปฏิบัติการที่มากขึ้นในแอฟริกา ไม่เพียงเท่านั้น; คุณจะเห็นความก้าวร้าวที่มากขึ้นของสหรัฐฯต่อศัตรูของเรา ไม่เพียงเท่านั้น; คุณกำลังจะเผชิญกับการตัดสินใจ ที่ไม่ได้กระทำจากภายในทำเนียบขาว แต่ข้างนอก ณ สนามรบ”
ในการตอบโต้ไปยังสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ส.ว. รันด์ พอล (Rand Paul) ประจำรัฐเคนทักกี ได้เขียนผ่านโพสต์ใน Twitter ของเขา ความว่า “คุณรู้ดีว่าคุณกำลังทำสงครามมากเกินไป และในหลายสถานที่มากเกินไป เมื่อแม้แต่คนที่กระหายสงครามอย่าง ลินด์ซี่ย์ เกรแฮม ยังไม่อาจติดตามสถานการณ์ได้ทันท่วงทีอีกต่อไป”
ในการตอบสนองไปยังการโจมตี และเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันที่ชาวอเมริกันได้เรียนรู้ว่า พวกเขากำลังช่วยระดมเงินทุนให้กับปฏิบัติการทางทหารในแอฟริกา ประธานคณะเสนาธิการร่วม* พล.อ. โจเซฟ ดันฟอร์ด (Gen. Joseph Dunford) จากหน่วยนาวิกโยธิน อ้างว่า สหรัฐฯมีกองกำลังประจำการในสาธารณรัฐไนเจอร์ “เข้าและออก” มานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ “พิชิตชัยเหนือความรุนแรงสุดโต่งในแอฟริกาตะวันตก”
*คณะเสนาธิการร่วม คือ หน่วยงานที่ปรึกษาทางทหารระดับสูงสุดในกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่รับผิดชอบในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางทหาร – คณะเสนาธิการร่วม ประกอบด้วย เสนาธิการกองทัพบก, เสนาธิการกองทัพอากาศ, หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการกองทัพเรือ, ผู้บัญชาการเหล่านาวิกโยธิน และหัวหน้ากองกำลังพิทักษ์ชาติ*
“บริเวณแห่งนี้มีความอันตรายโดยเนื้อแท้” ดันฟอร์ด กล่าว “เราอยู่ที่นั่น ก็เพราะ ISIS และ Al Qaeda กำลังปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว”
ดังที่ รอน พอลระบุ – สหรัฐฯยังคงใช้อำนาจอนุมัติการใช้กำลังทหาร ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่ได้รับอนุมัติให้สามารถนำมาใช้ได้ นับจากเหตุการณ์ 11 กันยา ในความตั้งใจจะนำกองกำลังทหารมาใช้ในปฏิบัติการเพื่อตามล่าผู้ก่อการร้ายที่ต้องสงสัยว่า เป็นผู้รับผิดชอบการโจมตีดังกล่าว
“นั่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่รัฐบาลจะบิดเบือน และใช้กฎหมายแตกต่างจากที่รัฐสภาระบุ สภาคองเกรสเขียนกฎหมาย และจากนั้นฝ่ายบริหารก็จะทำการเขียนข้อบังคับ และหลักการเดียวกัน ก็ถูกนำไปใช้สำหรับนโยบายต่างประเทศ พวกเขากล่าวว่า ‘เอาล่ะ คุณทำสิ่งนี้ได้‘ แต่มันไม่มีขีดจำกัด นั่นคือสิ่งที่เริ่มต้นมันขึ้นมา ไม่มีใครสักคนจะพูดถึงเรื่องกฎหมายที่กำหนดให้ประธานาธิบดีต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาในการใช้กำลังทหารอเมริกันต่อสู้นอกประเทศ (War Powers Resolution) – ไม่ใช่ว่านั่นคือทางออก แต่นี่เป็นความคิดที่มันสมควรจะมีการกำกับดูแลมากขึ้นเล็กน้อย ภายหลังสงครามเวียดนามเกิดขึ้น ทว่ามันกลับไม่ได้ถูกพูดถึง แม้แต่หยิบยกขึ้นมาอภิปรายใดๆเลย”
AUMF (การอนุมัติใช้กองกำลังทหารเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย) ที่ได้รับการอนุมัติในปี 2001 ได้ถูกนำมาใช้ และยังถูกละเมิดตลอดช่วงระยะเวลา16 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละครั้งความขัดแย้งทางทหารที่สหรัฐฯตัดสินใจจะกระทำให้ลุล่วง แทนที่จะให้ความสนใจไปยังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สหรัฐฯได้ใช้การอนุมัติดังกล่าวกับสถานการณ์ใด ๆก็ตาม ที่มีสัญลักษณ์เกี่ยวข้องกับวลีอย่าง ” Al-Qaeda, ISIS หรือหน่วยก่อการร้ายอิสลาม และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯก็กำลังพยายามดิ้นรนหาหนทางเพื่อให้คำจำกัดความดังกล่าวเหมาะเจาะกับสถานการณ์ต่างๆ (เช่นในแอฟริกา) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่พวกเขา สำหรับการปรากฏตัวทางทหารในแอฟริกา
Source: thefreethoughtproject
By: Rachel Blevins