ซาอุฯและสหรัฐ อุปมา “จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์กับวัวตัวอ้วน”

416

ซาอุดิอาระเบียกำลังพยายามขยายความสัมพันธ์ของตนกับสหรัฐฯ เพื่อก่อสมรภูมิที่ดูภายนอกแข็งแกร่งในการต่อต้านอิหร่าน อีกทั้งในการนี้พร้อมที่จะลงทุนกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา

Alalam – การสูบผลประโยชน์ของสหรัฐฯ จากซาอุดิอาระเบียมันมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การขายอาวุธให้แก่ประเทศนี้เพียงเท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ของวอชิงตันกำลังพยายามโน้มน้าวให้กรุงริยาดนำเงินของตนมาลงทุนในสหรัฐฯ อีกด้วย

หลายปีมาแล้วที่ซาอุดิอาระเบียได้กลายเป็น “โคนม” สำหรับสหรัฐฯ และการขายอาวุธสงครามเพียงอย่างเดียวให้แก่ซาอุฯ นั้นไม่สามารถทำให้สหรัฐฯ พึงพอใจได้ แต่ทว่าวอชิงตันกำลังใช้วิธีการต่างๆ อาทิเช่น กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้น และล่อลวงเจ้าหน้าที่ซาอุฯ เพื่อสูบเงินของประเทศนี้

ในเรื่องนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เว็ปไซต์ ”บลูมเบิร์ก” ได้รายงานถึงแผนการลงทุนของซาอุฯ ในสหรัฐฯ ที่มีจำนวนถึง 40 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายขยายความสัมพันธ์ระหว่างริยาดและวอชิงตัน

สองบุคคลที่อันตรายที่สุดของโลก

ในขณะที่ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ The Independent ยกให้ โดนัลด์ ทรัมป์และเจ้าชายโมฮัมมัด บินซัลมาน เป็นบุคคลที่อันตรายที่สุดในโลก

แพทริก ค็อกเบิร์น เขียนคอลัมน์ในบทความหนังสือ The Independent ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีอเมริกามีคำสั่งและให้การสนับสนุนพิเศษต่อซาอุดิอาระเบียในการโจมตีเยเมน ส่วนโมฮัมมัด บิน ซัลมาน เจ้าชายของซาอุดีอาระเบียก็พยายามโน้มน้าวให้วอชิงตันสนับสนุนริยาดในการจัดการกับอิหร่าน

ตามการรายงานเผยว่า ผู้สังเกตการณ์หลายคนถือว่าทรัมป์เป็นบุคคลที่อันตรายที่สุดในโลก และตอนนี้ผู้ชายคนนี้ที่เป็นอันตรายที่สุดได้วางแผนที่จะเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์หน้าเพื่อพบปะกับเจ้าชายโมฮัมมัด บิน ซัลมาน บุคคลอันตรายอันดับสองของโลกในช่วงเวลาสามวันในการเยือนกรุงริยาดซึ่งเขาเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัยในภูมิภาค

ค็อกเบิร์น ถือว่าในวันนี้ เจ้าชายโมฮัมมัด เป็นผู้ปกครองซาอุดิอาระเบีย เพราะว่ากษัตริย์วัย 81 ปีของประเทศนี้เนื่องจากความแก่ชราจึงไม่สามารถบริหารและปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ และตลอดสองปีครึ่งที่ผ่านมา เขาเป็นผู้บริหารงานประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะเหตุการณ์นับไม่ถ้วนได้รับการพิสูจน์ว่านอกเหนือไปจากความประมาทแล้วยังขาดชั้นเชิงทางการเมืองอีกด้วย

กรณีตัวอย่างเช่นการเติมเชื้อเพลิงแห่งความรุนแรงในซีเรียและยังเป็นการปูพื้นฐานในการปรากฏตัวและการขยายตัวของทหารรัสเซียในซีเรีย นอกจากนี้เหตุการณ์สงครามในเยเมนก็บ่งชี้ถึงความไม่ฉลาดและขาดวิสัยทัศน์ของเขาอีกด้วย

ค็อกเบิร์น ถือว่า หนึ่งในความเป็นอันตรายของโมฮัมมัด บิน ซัลมาน คือ “ไม่เคยเรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาดและไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง” และในช่วงท้ายบทความ เขียนว่า อเมริกาและซาอุดีอาระเบียบรรลุข้อตกลงร่วมในการต่อต้านอิหร่าน

ความพยายามที่จะแนะนำซาอุฯ ให้เป็นผู้นำโลกอิสลาม

นอกเหนือจากกรณีที่กล่าวไปแล้ว ซาอุฯ ยังพยายามที่จะแนะนำตัวเองในฐานะผู้นำโลกอิสลาม โดยการรวบรวมเหล่าผู้นำของประเทศทั้งหลายเข้าร่วมประชุมกับทรัมป์ ในกรุงริยาด

ซาอุฯ ได้เชื้อเชิญเหล่าผู้นำจากประเทศต่างๆ มากกว่า 17 ประเทศอย่างเป็นทางการให้ปรากฏตัวในซาอุฯ ในช่วงเวลาเดียวกันกับการเยือนกรุงริยาดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

กระทรวงต่างประเทศซาอุฯ เผยว่า ริยาดได้เชิญเหล่าผู้นำของประเทศอาหรับและอิสลามกว่า 17 ประเทศเพื่อพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในประเทศนี้

การพบปะดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือการพบปะระหว่างทรัมป์ กับ คิงซัลมาน การประชุมกับเหล่าแกนนำของประเทศรัฐอ่าว และการพบปะกับเหล่าผู้นำของประอาหรับอิสลามทั้งหลาย

คลังแสงที่ยังคงกระหายอยู่เสมอ

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาซาอุฯ ได้ทุ่มทุนมหาศาลกับการซื้ออาวุธต่างๆ จากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จนกลายเป็นประเทศที่มีคลังอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง แต่ประเด็นที่น่าแปลกคือ ริยาดยังคงมุ่งซื้ออาวุธเหมือนกับว่าคลังแสงของประเทศนี้ไม่มีวันเต็ม

ก่อนหน้านี้รอยเตอร์ได้รายงานว่า สหรัฐฯ และซาอุฯ ได้บรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายในการซื้อขายอาวุธที่มีมูลค่าสูงกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ และเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะเพิ่มสูงถึง 300 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสรรถภาพการป้องกันของซาอุฯ ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว

ตามการรายงานของสำนักข่าวเมฮ์ร สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า ซาอุฯ ได้กลายเป็น “เหมืองทอง” หรือ “โคนม” สำหรับสหรัฐฯ ไปเสียแล้ว และการเห็นพ้องของวอชิงตันกับนโยบายต่อต้านอิหร่านของซาอุฯ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสูบเงินประเทศนี้ได้มากกว่าเดิม

http://fa.alalam.ir/news/1968033