สถานการณ์ในพม่า: ร่องรอยของสหรัฐฯใน “การปฏิวัติผ้าเหลือง” (Saffron Revolution)

801
Myanmar student monks hold placards at a protest held to commemorate the annual memorial day of the Saffron Revolution in front of the Myanmar embassy in Colombo, Sri Lanka, on September 26, 2008.

สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดในเมียนมา หรือ พม่า ไม่ว่าจะเป็นชื่อใด ต่างก็ไม่ได้มีความแตกต่างเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอน เพื่อสรุปความความขัดแย้งดังกล่าว จะต้องไม่ลืมคำนวณถึงข้อเท็จจริงบางประการ….   

ประการแรก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปกครองแบบเผด็จการทางทหารในปัจจุบันนั้น นำโดย นายพลตาลชู ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำจอมเผด็จการที่กดขี่ข่มเหงที่สุดในโลก ความจริงประการต่อมาคือ คนพม่ามีมาตรฐานการครองชีพต่ำสุด  อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 35  ตามการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเบนซินและเชื้อเพลิงอื่น ๆ  100-500 เปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม ในประเทศนี้

สิ่งที่น่าสนใจในที่นี้ คือการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับแรงกดดันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในการตระหนักถึงข้อเท็จจริงของราคาพลังงาน  ด้วยการเพิ่มขึ้นของราคาเชื้อเพลิงและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ก่อให้เกิดการประท้วงจำนวนมาก ซึ่งนำโดยพระสงฆ์ใส่สวมจีวร

สหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า 50 ล้านคนของประชาชนในประเทศ จะใช้จ่ายรายได้ของพวกเขา สูงสุดถึง ร้อยละ 70 ของรายได้ต่อเดือนในการซื้ออาหาร ขณะที่ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้คนนับล้านในพม่าไม่สามารถทนต่อสภาพเช่นนี้ได้

นอกจากนี้ พม่ายังมีบทบาทสำคัญในวงการค้ายาเสพติด และเป็นอันดับที่สองรองจากอัฟกานิสถาน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่น่าสนใจซึ่งนำไปสู่การชุมนุมและการประท้วงต่อต้านรัฐบาล

อย่างไรก็ดี ยังคงมีอีกประเด็นสำคัญหนึ่งที่มักจะไม่ได้รับการตีแผ่ หรือ แม้แต่พาดพิงถึง กรณีที่กฎทางการทหารของพม่าอยู่ในรายชื่อเป้าหมายที่ถูกกำหนดโดยรัฐบาลบุช และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เราจึงสามารถเข้าใจได้ถึงการกระทำล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อพม่า และท่าทีใหม่ และความเข้มงวดที่ยากลำบากสำหรับประเทศนั้น มีข้อเท็จจริงอื่น ๆ แฝงอยู่บ้างที่ไม่อาจมองข้ามได้

หลังจากที่แพร่ภาพออกอากาศผ่านสถานี CNN ทีวี ในการเดินประท้วงของพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก  ก็เกิดการต่อสู้ทางภูมิศาสตร์การเมืองใหม่ครั้งใหม่ ซึ่งแน่นอนจะส่งผลกระทบตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ตัวแสดงหลัก

โศกนาฏกรรมของพม่า ซึ่งมีเขตพื้นที่ขนาดเท่ากับรัฐเท็กซัส  โดยที่ประชาชนในประเทศนี้ตกเป็นเหยื่อสวาปามในการจัดฉากที่ได้รับการวางแผนโดยองค์กร(มูลนิธิ)เพื่อชาติประชาธิปไตยในกรุงวอชิงตัน มูลนิธิ George Soros, Freedom House และ Albert Einstein Foundation

สถาบันเหล่านี้ทั้งหมดมีหน้าที่ในการวางแผนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง โดยไม่ใช้ความรุนแรงทั่วโลก “การปฏิวัติผ้าเหลือง”   Saffron Revolution  ของพม่า ก็เหมือนกับการปฏิวัติสีส้มในยูเครนและการปฏิวัติกุหลาบในจอร์เจีย และการปฏิวัติสีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเหนือผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของรัสเซีย ที่เกิดขึ้นรอบประเทศ

ในการปฏิวัติผ้าเหลือง ในพม่าได้มีการใช้เครื่องมือสื่อสารทั้งหมด อาทิ เช่น อินเทอร์เน็ต SMS และ E-Mail   ทางสำนักข่าว CNN เพิ่งประกาศอย่างไม่ได้เจตนา เกี่ยวกับบทบาทการดำเนินการของมูลนิธิทุนนิยมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาเพื่อประชาธิปไตยในการสนับสนุนการปฏิวัติและการประท้วงของพม่า

มูลนิธิดังกล่าวเป็นหน่วยงานเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ กิจกรรมดังกล่าวได้รับการออกแบบเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในความเป็นจริงแล้ว สถาบันนี้ทำสิ่งเดียวกับที่ CIA ทำในช่วงสงครามเย็น

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ในแถลงข่าวได้กล่าวว่า สหรัฐฯสนับสนุนสถาบันต่างๆเช่น National Endowment for Democracy มูลนิธิสถาบันเปิดและสถาบันที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งทำงานทั้งในและนอกภูมิภาคเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯยังคงดึงดูดและให้ความรู้แก่ผู้นำฝ่ายค้านหลัก ๆ ในองค์กรต่อต้านรัฐบาลของพม่า ตั้งแต่ปี 2546 กระทรวงได้จัดสรรงบประมาณให้แก่กิจกรรมของมูลนิธิประชาธิปไตยแห่งชาติในพม่ามากกว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

กิจกรรมขององค์กรนี้ได้รับคำสั่งโดยตรง และถูกวางแผนโดยสหรัฐอเมริกา และส่งผ่านเข้าพม่าโดยผ่านประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทย

สื่อกระแสหลักของพรรคฝ่ายค้านในพม่า เช่น พรรคประชาธิปัตย์ วิทยุพม่า และนิตยสารยุคใหม่ ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิแห่งนี้ แต่ผู้ชี้นำหลักของพระสงฆ์ในพม่าในการประท้วงเมื่อช่วงที่ผ่านมา คือ เจนชาร์ป ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ Albert Einstein Foundation  ในเคมบริดจ์และ แมสซาชูเซต

สถาบันนี้เป็นหนึ่งในสาขาของ National Endowment for Democracy ซึ่งกำลังทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่สงบ ณ จุดสำคัญที่สุดทั่วโลกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐอเมริกา  สถาบัน Albert Einstein มีบทบาทในพม่าตั้งแต่ปี พ. ศ. 2532

พันเอก โรเบิร์ต เฮลวี ผู้ประสานงานพิเศษของ CIA และอดีตนายทหารสหรัฐฯประจำกรุงย่างกุ้งแนะนำให้นายพลชาร์ป ในปี พ. ศ. 2532 เข้าไปปฏิบัติภารกิจในพม่า  สิ่งที่น่าสนใจคือ ชาร์ปอยู่ในประเทศจีน เป็นเวลาสองสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

ทำไมต้องเป็นพม่า?

คำถามที่เกิดขึ้นสำหรับทุกคนในที่นี่คือ ทำไมต้องเป็นพม่าที่ตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลสหรัฐฯ และเป้าหมายในการกระทำของรัฐบาลในประเทศด้วย?  แน่นอว่า ในเบื้องต้น ทุกๆจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ของมนุษย์ ได้แสดงปฏิกิริยาครั้งแรกด้วยการปฏิเสธความเห็นอกเห็นใจของวอชิงตันที่มีต่อประชาธิปไตยความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในพม่า เหตุการณ์ในอิรักและอัฟกานิสถานเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับความจริงในเรื่องนี้ ที่ว่าความพยายามในการส่งเสริมประชาธิปไตย เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้ไปถึงยังเป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ เพื่อขยายอำนาจของตนเท่านั้น

แต่ทำไมสหรัฐถึงไปไกลถึงพม่า ? คำตอบสำหรับคำถามนี้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์พัฒนาการและตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์  พม่าควบคุมน่านน้ำยุทธศาสตร์ที่ไหลจากอ่าวเปอร์เซียไปยังทะเลจีนใต้  ชายฝังพม่าเป็นเส้นทางให้บริการทางเดินทะเลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกผ่านช่องแคบมะละกา

ช่องแคบนี้เป็นเส้นทางผ่านของเรือข้ามฟากระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย  กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา(เพนตากอน) หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา ด้วยข้ออ้างในการปกป้องการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในพื้นที่จึงเข้าไปตั้งกองกำลังทหาร

ช่องแคบมะละกาเชื่อมต่อมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางเดินเรือที่สั้นที่สุดระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับจีน มากกว่าร้อยละ 80 ของการนำเข้าน้ำมันของจีนจะถูกขนส่งผ่านเรือบรรทุกน้ำมันจากช่องแคบนี้

จุดที่บอบบางคือ คลองฟิลลิปส์ในช่องแคบสิงคโปร์ซึ่งมีความกว้างเพียงเล็กน้อย ทุกๆวันมีน้ำมันมากกว่า 12 ล้านบาร์เรล์ ที่มี supercontinent ไหลผ่านช่องแคบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าสู่ตลาดจีน อันเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ถ้าช่องแคบนี้ถูกปิดลง เรือบรรทุกน้ำมันต้องเดินทางไกลเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง

ในแต่ละปี มีเรือข้ามช่องแคบมะละกากว่า 50,000 ลำ  ดังนั้น ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมน่านน้ำเหล่านี้ จึงเปรียบเสมือนได้ควบคุมคอขวดเส้นทางการขนย้ายพลังงานไปยังประเทศจีน  จีนเข้าไปมีบทบาทและอิทธิพลที่เข้มแข็งขึ้นในพม่า หลังจากเหตุการณ์ในอิรักและการปรากฏตัวของสหรัฐอเมริกาในประเทศและการครอบงำของบ่อน้ำมันเหล่านี้ จะทำให้สหรัฐฯไม่สามารถเข้าถึงช่องแคบมะละกาได้

พม่ายังผลิตน้ำมันและก๊าซเมื่อปี พ.ศ. 2414 หลังจากที่อังกฤษจัดตั้งบริษัทน้ำมันย่างกุ้ง    ในปี พ. ศ. 2545 บริษัท น้ำมันของสหรัฐฯเช่น Texaco และ Premiere Oil ซึ่งเคยเกี่ยวข้องกับบริษัทน้ำมันและก๊าซของพม่า ได้ถอนตัวออกจากประเทศ เนื่องจากแรงกดดันภายในประเทศ และภูมิภาค เป็นเหตุทำให้บริษัทน้ำมัน Petronas ของ Malaysia เข้ามาแทนที่

ในปี พ. ศ. 2548 จีน ไทย และเกาหลีใต้ ได้ลงทุนการพัฒนาเขตก๊าซและน้ำมันพม่า ขณะนี้การส่งออกก๊าซเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศพม่า

ด้วยเหตุนี้ สหรัฐอเมริกาจึงเข้าสู่เขตยุทธศาสตร์ของจีน ตามนโยบายอเมริกา จาก Darfur ถึง Takasaki (Darfur Takarax)  และทำให้การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯในพม่าควรถูกมองในแง่ว่า เป็นเรื่องร้ายเท่านั้น

Sources: vista.ir  hamshahrionline.ir 

ภาพจาก: iol.co.za