กรุงเฮก, เนเธอร์แลนด์ – ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่ายังคงเศร้าโศกกับความสูญเสียจากการโจมตีทางทหารของอิสราเอลเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ที่ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้ไปถึง 2,251 คน เป็นเด็ก 551 คน ในเวลา 51 วัน อิสราเอลเองก็มีความเสี่ยงมากขึ้นว่าจะต้องพบกับผลสะท้อนกลับทางกฎหมายสำหรับการกระทำของตน
“เป็นที่ชัดเจนว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามระหว่างการจู่โจมกาซ่า เป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่น่าอับอายสำหรับมนุษยชาติ” Ramy Abdu ประธานกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแถบยุโรป-เมดิเตอร์เรเนียนบอกกับสำนักข่าว MintPress จากสำนักงานในกาซ่าของกลุ่มนี้ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเจนีวา
หลังจากที่รัฐปาเลสไตน์สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ในกรุงเฮกเมื่อ 1 มกราคม, การได้เข้าเป็นสมาชิกเมื่อ 1 เมษายน และการยื่นคำร้องครั้งแรกต่อ ICC เมื่อ 24 มิถุนายน อิสราเอลก็ต้องเผชิญกับข้อหาที่อาจเป็นไปได้ต่างๆ
ตามข้อมูลจาก Shawan Jabarin ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษยชนของปาเลสไตน์ อัล-ฮัก ที่ได้พูดกับ Mondoweiss หลังจากที่เอกสารเหล่านั้นถูกยื่นไปแล้วระบุว่า เนื้อหาของเอกสารเหล่านั้นไม่เพียงแต่ประกอบด้วยคำร้องที่เกิดจากการระดมโจมตีทางอากาศต่อกาซ่าและการก่อสร้างนิคมชาวยิวในเวสต์แบงก์ของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อนักโทษปาเลสไตน์ รวมไปถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาชญากรรมจากการเหยียดชนชาติตามที่กำหนดไว้ภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมของ ICC
เอกสารนี้ประกอบด้วย 23 เรื่อง Jabarin บอกว่ารวมถึงเรื่องที่เป็นอาชญากรรมสงครามเจ็ดเรื่อง
ความพยายามอย่างเป็นทางการของปาเลสไตน์ครั้งนี้ได้นำมาสู่การทำงานร่วมกันของ Jabarin และสมาชิกอีก 31 คนในคณะกรรมการแห่งชาติ ที่แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส ของคณะปกครองปาเลสไตน์เมื่อ 7 กุมภาพันธ์
ภัยคุกคามที่ซ้ำซ้อน
แต่การยื่นฟ้องเป็นเพียงหนึ่งจากภัยคุกคามซ้ำซ้อนที่อิสราเอลกำลังเผชิญหน้าอยู่ที่กรุงเฮกในขณะนี้เท่านั้น
เมื่อวันที่ 16 มกราคม Fatou Bensouda อัยการของ ICC ได้เริ่มทำงานตรวจสอบเบื้องต้นในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่าตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2014 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชาวปาเลสไตน์ได้ให้ขอบเขตอำนาจแก่ศาลเมื่อพวกเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้ว
ผู้สังเกตการณ์หลายคนเห็นพ้องกันว่าการตรวจสอบนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วกว่าส่วนใหญ่ ถึงแม้คณะผู้แทนของ ICC ที่มีกำหนดจะไปเยือนปาเลสไตน์ปลายเดือนกรกฏาคมนี้จะเลื่อนการเดินทางออกไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ด้วยเหตุผลทางเทคนิกและขั้นตอน
ภายในกาซ่า การตรวจสอบของ ICC คาดว่าจะดำเนินไปตามแบบแผนของรายงานของคณะกรรมการไต่สวนอิสระของสหประชาชาติเกี่ยวกับการรุกรานปี 2014 ซึ่งอ้างว่า “อาชญากรรมสงคราม” อาจเกิดขึ้นได้โดยทั้งกองกำลังของอิสราเอลและกลุ่มต้านทานของปาเลสไตน์
นอกจากนั้น กลุ่มสิทธิมนุษยชนของปาเลสไตน์กำลังรวบรวมคำร้องจากบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการของอิสราเอลในเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า
คำร้องเหล่านั้นมีตั้งแต่ชาวบ้านในฉนวนกาซ่าที่สมาชิกครอบครัวเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว ไปจนถึงเจ้าของที่ดินในเวสต์แบงก์ที่สูญเสียที่ดินในความครอบครองให้กับการขยายนิคมชาวยิว
แหล่งข่าวจากกลุ่มต่างๆ ในทั้งสองดินแดนของปาเลสไตน์บอกกับ MintPress ว่า ในขณะที่จำนวนคดีต่างๆ มีมากจนเต็มความสามารถของพวกเขา จำนวนรวมอาจจะถึงหลายหมื่นคดี
กองเรือเสรีภาพ (Freedom Flotilla)
อีกคดีหนึ่งที่กำลังดำเนินการกับอิสราเอลเกิดจากการที่ได้โจมตีกองเรือเสรีภาพโครงการที่หนึ่ง ที่พยายามฝ่าฝืนการปิดกั้นฉนวนกาซ่าทางทะเล เมื่อ 31 พฤษภาคม 2010
การจู่โจมเรือ Mavi Marmara เรือนำขบวนของกองเรือนี้โดยหน่วยคอมมานโดของกองทัพเรือ ได้สังหารนักเคลื่อนไหวชาวตุรกีแปดคน และชาวอเมริกันเชื้อสายตุรกีหนึ่งคน
ผู้ร่วมขบวนชาวตุรกีอีกคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2014 หลังจากอยู่ในอาการโคม่ามาเกือบสี่ปี
คณะค้นหาข้อเท็จจริงของสหประชาชาติได้กำหนดว่า “บนพื้นฐานจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และอาวุธปืน ผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกคนสามารถระบุลักษณะได้ว่าเป็นการใช้กฎหมายพิเศษ ประหารชีวิตโดยพลการและรวบรัด”
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2013 สหภาพคอโมโรสที่ได้ติดธงบนเรือ Mavi Marmara ได้กล่าวถึงคดีที่ส่งให้ ICC โดยอ้างว่า
“การกระทำของ IDF (กองกำลังป้องกันอิสราเอล) เป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งประกอบด้วยการกระทำที่เป็นการฆาตกรรม, ทรมาน และ ‘การกระทำทารุณกรรมอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ยากใหญ่หลวง หรือการบาดเจ็บสาหัสต่อร่างกาย หรือจิตใจ หรือสุขภาพทางกาย’ ที่ได้ก่อขึ้น ‘เป็นส่วนหนึ่งในการโจมตีอย่างแพร่หลายและเป็นระบบโดยตรงต่อประชากรที่เป็นพลเรือน โดยรับรู้การโจมตีนั้น’”
รอยร้าวที่เด่นชัด
เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Bensouda ได้ยกคำฟ้องร้องเหล่านี้ โดยกล่าวว่า “คดีที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจสอบในเหตุการณ์นี้ไม่น่าจะมีความ ‘รุนแรงเพียงพอ’ ที่จะทำให้ ICC มีความชอบธรรมที่จะดำเนินการต่อไปได้”
แต่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ผู้พิพากษาสามคนขององค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้นคณะที่ 1 ได้รับคำอุทธรณ์การตัดสินของ Bensouda ที่ยื่นโดยคอโมโรส และได้ตัดสิน 2-1 ว่า เธอได้ “กระทำผิดพลาดทางสาระสำคัญ” และขอให้เธอพิจารณาใหม่
ในการตรวจสอบ คณะผู้พิพากษาเหล่านี้เขียนว่า
“องค์คณะไม่สามารถมองข้ามความคลาดเคลื่อนระหว่าง ด้านหนึ่งที่เป็นข้อสรุปของอัยการที่ว่า อาชญากรรมดังกล่าวไม่มีความรุนแรงอย่างเด่นชัดมากพอที่จะทำให้ศาลมีความชอบธรรมในการดำเนินการ ซึ่งความมุ่งหมายเดิมของมันคือเพื่อสอบสวนและดำเนินคดีที่เป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประชาคมระหว่างประเทศ กับอีกด้านหนึ่ง ที่เหตุการณ์เหล่านี้ได้ดึงดูดความสนใจและความกังวลจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และยังจะนำไปสู่ความพยายามที่จะค้นหาข้อเท็จจริงในนามของรัฐและสหประชาชาติเพื่อให้เกิดความกระจ่างในเหตุการณ์เหล่านี้”
หลายวันต่อมา Bensouda ได้ยื่นคำอุทธรณ์ของเธอเองต่อคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม โดยขอให้องค์คณะตุลาการอุทธรณ์ของ ICC ยกเลิกคำสั่งนั้น
วิกฤตความชอบธรรม
รอยร้าวที่เด่นชัดระหว่าง ICC กับอัยการระดับสูงไม่เพียงแต่อาจจะทำให้เกิดคำถามทางเทคนิคเกี่ยวกับความถูกต้องทางกฎหมายและอำนาจศาลเท่านั้น แต่ยังจะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความชอบธรรมที่ลดน้อยถอยลงของศาลอีกด้วย
ตลอดระยะเวลา 13 ปี ศาลได้พิจารณาคดีทั้งหมดไป 22 คดีจากเก้าสถานการณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีบุคคล 30 คน แต่ละคนเป็นผู้นำแอฟริกา
การเพ่งเล็งแคบๆ นี้หนีไม่พ้นการสังเกตเรื่องทวีป ซึ่งมีเสียงเรียกร้องซ้ำๆ ให้รัฐต่างๆ ในทวีปถอนตัวจาก ICC ทั้งคณะ
ความขัดแย้งนี้มาถึงการประชุมสุดยอดสหภาพแอฟริกันที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ซึ่งได้มีนักเคลื่อนไหวมาเรียกร้องให้จับกุมตัวประธานาธิบดีโอมาร์ อัล-บาชิร ของซูดาน ตามหมายของ ICC
ถึงแม้ว่าศาลในท้องถิ่นจะส่งให้อัล-บาชีรอยู่ภายในประเทศ แต่รัฐบาลแอฟริกาใต้อนุญาตให้เขากลับไปยังซูดานเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน โดยอ้างถึงข้อตกลงหนึ่งที่คุ้มครองผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด AU จากการจับกุม
ความแตกต่างเล็กน้อย
การได้รับการยกเว้นโทษนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยจากการยกเว้นโทษที่บรรดาผู้นำของอิสราเอล เช่น Tzipi Livni ใช้กันบ่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะถูกจับกุมในประเทศที่เป็นมิตร เช่น สหราชอาณาจักร ที่อ้างว่าเป็น “เขตอำนาจสากล” ครอบคลุมอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ
และไม่ได้เป็นข้อตกลงที่อนุมัติโดยธรรมนูญกรุงโรม แตกต่างกันอย่างยิ่งกับ “การเพิกถอนมาตรา 98” ที่สหรัฐฯ ได้ลงนามกับประเทศอื่นๆ 95 ชาติ เพื่อไม่ให้ประเทศเหล่านั้นส่งพลเมืองหรือลูกจ้างของสหรัฐฯ ไปให้ ICC ดำเนินคดี
แต่การปฏิเสธที่จะเมินเฉยต่อภาระหน้าที่ของมัน ขณะที่เจ้าภาพการประชุมสุดยอดนี้ได้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อ ICC และผู้สนับสนุน ว่าไม่เคยจัดระดับกับมหาอำนาจที่ไม่ใช่แอฟริกาในการดำเนินการแบบเดียวกันนี้เลย
การที่สหภาพแอฟริกาไม่สนับสนุนให้ชาติสมาชิกทั้ง 54 ชาติของตนให้ความร่วมมือกับ ICC หลายคนมองว่ากรณีของปาเลสไตน์และคอโมโรสจะเป็นบททดสอบสำคัญของศาลว่าจะมีความเต็มใจที่จะกล่าวถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของรัฐที่ไม่ใช่แอฟริกาและได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกหรือไม่
แรงกดดันทางการเมือง
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากคณะผู้แทนขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ (Palestine Liberation Organization) ประจำสหรัฐฯ ได้บอกกับ MintPress ว่า คดีเหล่านี้ไม่ได้เชื่อมโยงตามกฎหมาย
“ศาลทำการตัดสินด้วยตัวเอง” เขากล่าวถึงการที่องค์คณะตุลาการพิจารณาเบื้องต้นท้าทายการยกฟ้องคดีคอโมโรสของ Bensouda “เราไม่คิดว่าประเด็นเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้อง”
แต่สำหรับการยืนหยัดในอนาคตของ ICC การปฏิบัติต่อสองคดีนี้อาจมีหลายอย่างที่คล้ายกัน
จากกาซ่า Ramy Abdu จากกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในแถบยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียนกล่าวว่า แรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อ ICC เท่านั้นที่จะขัดขวางไม่ให้มันตัดสินความผิดของอิสราเอล
“เราไม่มีความหวาดกลัว และไม่มีความสงสัยเลยว่าผลของการสอบสวนนี้จะแสดงให้เห็นว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมสงคราม” Abdu กล่าว
“ถ้าสิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎหมายและไม่มีแรงกดดันทางการเมือง หรือพูดให้ถูกต้องกว่านี้ว่า ถ้าฝ่ายต่างๆ อดทนต่อแรงกดดันทางการเมือง เราก็จะพูดได้ว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมสงครามเหล่านี้จะถูกจับกุมในเร็วๆ นี้”
—–
By Joe Catron
Source http://www.mintpressnews.com/israel-may-soon-face-prosecution-at-the-hagues-international-criminal-court/208220/
แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์