หลังจากเหตุการณ์โจมตีสำนักงานชาร์ลี เอบโด นักเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมได้ร่วมกันประกาศว่าฆาตรกรคือพวกมุสลิมหัวรุนแรง การเสนอแนะของกฎหมายตะวันตกอาจจะไม่แม่นยำ หากว่าไม่ผิดศีลธรรม
“ฆาตรกรในปารีสทุกวันนี้ไม่ใช่ผลที่เกิดมาจากความผิดพลาดของฝรั่งเศสในการรับเอาคนสองรุ่นจากผู้อพยพชาวมุสลิมมาจากอดีตอาณานิคมของมัน” จอร์จ แพคเกอร์เขียนไว้
พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปฏิบัติการทางทหารของฝรั่งเศสต่อรัฐอิสลามในตะวันออกกลาง หรือการรุกรานอิรักของอเมริกาก่อนหน้านั้น พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นความรุนแรงที่ทำลายล้างในตะวันตกที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ, แตกแยกทางสังคม และกลวงโบ๋ทางศีลธรรม เป็นนีวทาวน์หรือออสโลในภาคของปารีส และน้อยที่สุดที่พวกเขาจะ “ถูกเข้าใจ” ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองกับการไม่เคารพต่อศาสนาในส่วนที่เกี่ยวกับนักเขียนการ์ตูนที่ขาดความรับผิดชอบเหล่านั้น… พวกเขาเป็นเพียงแค่การระเบิดครั้งล่าสุดที่ถูกส่งมาโดยอุดมการณ์ที่แสวงหาอำนาจผ่านการก่อการร้ายที่มีมาหลายทศวรรษแล้ว
ความรู้สึกนี้ทำให้นึกถึงทัศนคติทั่วไปภายหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 เมื่อซูซาน ซันแทก ถูกไล่ออกเพราะชี้ให้เห็นว่า “นี่ไม่ใช่การโจมตี ‘อย่างขี้ขลาด’ ที่กระทำต่อ ‘พลเรือน’ หรือ ‘เสรีภาพ’ หรือ ‘มนุษยชาติ’ หรือ ‘โลกเสรี’ แต่เป็นการโจมตีมหาอำนาจของโลกที่ตั้งตัวขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นผลที่ตามมาของการเป็นพันธมิตรและการกระทำของอเมริกาโดยเฉพาะ”
แต่ถึงกระนั้น ในยุคสมัยนี้ นักวิจารณ์จำนวนมากในสื่อกระแสหลักยังคงวิจารณ์ออกมาจากความคิดเห็นว่าพวกเขาเกลียดเสรีภาพ ประสานเสียงกันกล่าวโทษอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเพราะการโจมตีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หรือเป็นเพราะ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” วัยกระเตาะได้เข้ามาสู่วงถกเถียง หรือเป็นเพราะปัจจุบันนี้นักเขียนที่มีการไตร่ตรองมากกว่ามีเวทีที่โดดเด่น ทำให้ความจริงได้คืบคลานเข้ามา
เทจู โคล ได้เขียนไว้ใน New Yorker ด้วยเช่นกันว่า “ความรุนแรงจากฝ่าย ‘ของเรา’ ยังคงไม่มีการลดละ ในเวลานี้ของเดือนหน้า ด้วยความน่าจะเป็นทั้งหลายแหล่ จะมี ‘ชายหนุ่มในวัยทหาร’ อีกเป็นจำนวนมาก และคนอื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่ใช่ทั้งคนหนุ่มสาวหรือผู้ชาย จะถูกฆ่าด้วยการโจมตีจากเครื่องบินโดรนของสหรัฐฯ ในปากีสถานและที่อื่นๆ ถ้าการโจมตีที่ผ่านๆ มาเป็นอะไรบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นต่อไป คนเหล่านี้จำนวนมากจะเป็นผู้บริสุทธิ์จากการกระทำความผิด”
นั่นนับว่าเป็นความก้าวหน้า เช่นเดียวกับการตัดสินใจของ CNN ที่จะถ่ายทอดผลงานชิ้นหนึ่งของนอม ชอมสกี้ ที่เรียกการฆ่าด้วยเครื่องบินโดรนของประธานาธิบดีโอบาม่าว่าเป็น “ปฏิบัติการก่อการร้ายที่รุนแรงมากที่สุดในยุคปัจจุบัน” และดังที่ซีมัส มิลเน่ ได้เขียนไว้ใน the Guardian โดยระบุว่า ความรุนแรงเหมือนเช่นการโจมตีปารีสนั้นเป็นการขยายสงครามของตะวันตก
ทว่ารายงานเหล่านี้ก็ยังคงค่อนข้างอ่อนโยนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอยู่ มันกล่าวถึงบทบาทของตะวันตกในการสร้างความรุนแรงที่ “ผู้นำที่รอบคอบ” ของตนทำนั้นเป็นความผิดของอิสลาม ความจริงไม่ใช่เพียงแค่ทีมสร้างความรุนแรงของสหรัฐอเมริกามีความรุนแรงกว่าของศัตรูของมัน หรือว่าฝ่ายแรกเป็นผู้กระตุ้นการกระทำของฝ่ายหลังเท่านั้น แต่รัฐบาลชาติตะวันตกและรัฐบริวาลของพวกมันยังเสริมอำนาจให้กับกลุ่มนักรบญีฮาดขวาจัดอย่างกระตือรือร้นอีกด้วย
เหล่าจักรวรรดินิยมตะวันตกวาดภาพให้ “แนวคิดก่อการร้ายอิสลาม” เป็นไวรัสลึกลับประจำชนชาติ ในแบบที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่และพันธมิตรเสรีนิยมของพวกเขากล่าวโทษ “วัฒนธรรมสีดำ” สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเหยียดเชื้อชาติและการกดขี่อย่างยาวนาน ไม่มีคำสอนใดในอิสลามที่ก่อให้เกิด “แนวคิดก่อการร้าย”
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ มีความพยายามมานานแล้วที่จะใช้แง่มุมเฉพาะของศาสนาอิสลามมาเป็นอาวุธ นี่เป็นส่วนหนึ่งของบริบทที่ใหญ่กว่านี้ที่รวมถึงการล่าอาณานิคมของยุโรป และการยึดอำนาจและทำสงครามของอเมริกาที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและการแบ่งแยกทางนิกายและบ่อนทำความการตัดสินใจด้วยตัวเองของประชาชนในภูมิภาคนั้น
มิลเน่ให้มุมมองที่คุ้นเคยกันดีว่า ตะวันตกใช้ความรุนแรงอย่างมากกับประชาชนในตะวันออกกลาง และเหมือนที่วาร์ด เชอร์ชิลเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า “ประชาชนบางส่วนจึงเอาคืน” นี่เป็นเรื่องจริง หลายคนที่โจมตีเมืองหลวงของชาติตะวันตกในนามของอิสลาม ตั้งแต่ โซคาร์ ซาร์แนฟโต จนถึงฟัยซาล ชาห์ซาด ที่เกือบจะเป็นมือระเบิดตึงไทมส์สแควร์ ก็บอกว่าความรุนแรงของตะวันตกเป็นเหตุจูงใจของพวกเขา คำอธิบายของพวกเขาไม่เพียงแต่สอดคล้องกันกับสามัญสำนึกเท่านั้น แต่ตรงกันกับการวิจัยของโรเบิร์ต เพจ นักวิทยาศาสตร์การเมืองจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่ค้นพบว่า จนถึงขณะนี้ สาเหตุสำคัญที่สุดของการระเบิดพลีชีพทั่วโลกนั้นก็คือการยึดครองของต่างชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น มีมุสลิมเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่เข้าร่วมกับกลุ่มนักรบญีฮาดขวาจัด บิลล์ มาเฮอร์ พยายามที่จะตอกย้ำการกล่าวอ้างของเขาว่าอิสลามมีความรุนแรงอยู่ในธรรมชาติ เขาจึงหยิบยกสถิติที่แสดงให้เห็นว่ามุสลิมจำนวนมากมีทัศนคติที่ล้าหลังเกี่ยวกับผู้หญิงและเกย์ แต่นี่เป็นคำพูดที่ไร้เหตุผล ทัศนคติเช่นนี้แทบจะไม่เคยมีอยู่ในสมาชิกของอัล-กออิดะฮ์หรือไอซิซเลย
ในหนังสือ The Missing Martyrs : Why There Are So Few Muslim Terrorists ของชาร์ลส์ เคิร์ซแมน เขารายงานว่า “มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์” ได้ปฏิเสธการเรียกร้องนั้น ถึงแม้ชาติตะวันตกจะเข่นฆ่าพลเรือนอยู่เป็นประจำ แต่มุสลิมส่วนใหญ่จำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีแก้แค้นต่อพลเรือน หรือแม้แต่คนส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยกับกลวิธีนั้นก็ยังลังเลที่จะลงชื่อร่วมกับขบวนการที่เข่นฆ่ามุสลิมเป็นส่วนใหญ่
ยิ่งกว่านั้น ชาวมุสลิมไม่ได้ถือว่าอัล-กออิดะฮ์หรือไอซิซเป็นรูปแบบที่ถูกต้องของการต้านทานลัทธิจักรวรรดินิยม ตรงกันข้าม หลายคนมองว่าอัล-กออิดะฮ์และไอซิซเป็นผลผลิตของจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ-ซาอุดี้ฯ
ตรงนี้เราต้องอาศัยพิษของนักเสรีนิยม นั่นก็คือ ประวัติศาสตร์ สหรัฐฯ ได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดิอารเบียในปี 1933 แต่ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในตะวันออกกลางอย่างจริงจังจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมันเริ่มได้รับช่วงต่ออำนาจความเป็นใหญ่ในภูมิภาคต่อจากสหราชอาณาจักร ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับซาอุดิอารเบียมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อวอชิงตันพยายามที่จะรักษาอำนาจของตนในภูมิภาคนี้ ตลอดระยะเวลาของสงครามเย็น เจ้าหน้าที่อเมริกาพยายามใช้พวกนักรบขวาจัดเพื่อต่อสู้กับสองภัยคุกคามเบื้องต้นต่ออำนาจความเป็นใหญ่ของตนในตะวันออกกลาง นั่นก็คือ สหภาพโซเวียตและชาตินิยมอาหรับ
โรเบิร์ต เดรย์ฟัส กล่าวถึงประวัติศาสตร์นี้ในหนังสือของเขาเมื่อปี 2006 ชื่อ Devil’s Game : How the United States Helped Unleash Fundamentalist Islam ข้อตำหนิใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ก็คือ เดรย์ฟัสรวมการการปฏิบัติทางการเมืองของมุสลิมทุกประเภทเข้าไว้ด้วยกันภายใต้คำว่า “อิสลาม” ตั้งแต่ฮามาส ไปจนถึงการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ตลอดจนอัล-กออิดะฮ์ (ความยินยอมของอเมริกาและอิสราเอลในการเกิดขบวนการฮามาสขึ้นมาเรื่องสิ่งสำคัญ แต่มันแทบไม่ได้บอกอะไรเราเลยเกี่ยวกับอัล-กออิดะฮ์)
อย่างไรก็ตาม เดรย์ฟัสเขียนออกมาได้ชวนเชื่อ เป็นหนังสือที่ดึงข้อมูลจากราชการมาใช้อย่างมาก ที่จริงมันเกือบจะแน่ชัดเลยว่าบทบาทของสหรัฐฯ ในการจุดไฟแค้นของนักรบญีฮาดขวาจัดนั้นมีมากกว่าสิ่งที่เขาได้บันทึกไว้ เพราะข้อตกลงหลายอย่างถูกแอบแฝงไว้
ในยุค 1950s มีปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า กามาล อับดุล นัสเซอร์ ผู้ซึ่งอิสรภาพที่แท้จริงของเขาเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ผู้นำคนใหม่ของอียิปต์ผู้นี้เป็นภัยคุกคามถึงขนาดที่รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส ถือเอาคำพูดของไอเซนฮาวร์ที่บอกว่า “ปัญหาเรื่องนัสเซอร์สามารถกำจัดไปได้” ว่าเป็นคำสั่งลอบสังหาร
ด้วยความพยายามทำให้นัสเซอร์อ่อนแอ สหรัฐฯ หันไปเอาใจกลุ่มภราดรภาพมุสลิมถึงแม้ว่า (หรือน่าจะใช้คำว่า เนื่องจาก) ประวัติการก่อการร้ายและความรุนแรงของมันที่ทำต่อประเทศ ชาวอเมริกันยังมองเห็นศักยภาพการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในศาสนาของมันอีกด้วย “ถ้าเราไม่เดินบนแนวทางของอิสลาม เราก็จะเดินบนแนวทางคอมมิวนิสม์” ซัยยิดคุตบ์ หัวหน้ากลุ่มนี้กล่าว
ยุคของแม้คคาร์ธี่ วอชิงตันมีความเปิดกว้าง
ในปี 1953 โครงการแอบแฝงของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้นำบรรดานักคิดและนักเคลื่อนไหวระดับแนวหน้าจากตะวันออกกลางมายังพรินซ์ตัน หนึ่งในนั้นคือซาอิด รามาดัน จากกลุ่มภราดรภาพมุสลิม เขาเป็นลูกเขยของผู้ก่อตั้งกลุ่ม เขาได้ไปที่ทำเนียบขาวในปีเดียวกันนั้น และน่าจะกลายเป็นคนของ CIA
ในปี 1954 ความพยายามของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมที่จะลอบสังหารนัสเซอร์ล้มเหลว เขารอดชีวิตและเริ่มการสลายกลุ่มและจับกุมสมาชิกของกลุ่มหลายพันคน ในปี 1956 ความนิยมในตัวนัสเซอร์พุ่งขึ้นเนื่องจากเขาทำให้คลองสุเอซเป็นของรัฐบาลได้ ซึ่งทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ายึดครองคลองนี้ และอิสราเอลบุกรุกซีนาย แต่ทั้งสามชาตินี้ก็ถูกบีบให้ถอยกลับไป และนัสเซอร์ได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งภูมิภาค
นัสเซอร์เป็นเป้าหมายหลักของคำปราศรัยต่อสภาคองเกรสของไอเซนฮาวร์ในปี 1957 โดยประกาศว่าเขาจะให้เงินทุนแก่รัฐบาลอาหรับในความพยายามที่จะลดทอนอิทธิพลของโซเวียต “หลักเกณฑ์ของไอเซนฮาวร์” ทำให้ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากเงินของอเมริกา (รูสเวลต์ประกาศว่า การปกป้องราชอาณาจักรซาอุดี้ฯคือผลประโยชน์สำคัญของชาติ และสร้างความมั่นคงแก่ข้อตกลงกับซาอุดี้ฯ ที่จะให้ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ จนถึงปี 2003)
นัสเซอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุค 1960s เนื่องจากความแข็งแกร่งของโครงการพัฒนาของเขา ในเวลาเดียวกัน เขาทำการปราบปรามภราดรภาพมุสลิมต่อไป รัฐบาลนัสเซอร์ได้จำคุก ทรมาน และในที่สุดแขวนคอคุตบ์ ผู้ซึ่งได้เขียนเรียกร้องให้ทำการปฏิวัติอย่างรุนแรง และเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มนักรบมุสลิมหัวรุนแรง
ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นเหมือนๆ กันก็คือ รัฐบาลอาหรับประสบความสำเร็จในการรับมือกับการก่อการร้ายด้วยการปราบปราม แท้ที่จริงแล้วพวกเขาทำได้แค่ขับไล่และทำให้มันฝังตัวลึกลงไป วิทยานิพนธ์ต่อไปนี้ที่นำเสนอโดยลอว์เรนซ์ ไรท์ เป็นการกล่าวเกินจริงแต่ก็มีความจริงอยู่พอสมควร :
แนวคิดหนึ่งนำเสนอว่า โศกนาฏกรรมเมื่อ 11 กันยายนของอเมริกาถือกำเนิดขึ้นในคุกของอียิปต์ ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนให้เหตุผลโต้แย้งว่า การทรมานก่อให้เกิดความอยากที่จะแก้แค้น ครั้งแรกในกรณีของซัยยิดคุตบ์ และต่อมาในสาวกของเขา ซึ่งรวมถึงอัยมัน อัล-ซาวาฮิรี
ในยุค 1960s ความเป็นชาตินิยมของชาวอาหรับ อันนำมาซึ่งการพัฒนาและการกระจายรายได้, การต่อต้านจักรวรรดินิยม และมีความมุ่งมั่นในการต่อต้านไซออนิสต์ ได้รับแรงดึงไม่เพียงเฉพาะในอียิปต์เท่านั้น แต่ทั่วทั้งภูมิภาค จากอัลจีเรียไปถึงปาเลสไตน์ ตลอดไปจนถึงอิรัก เพื่อเป็นการตอบโต้ สหรัฐฯ ได้หันไปหามิตรเผด็จการของมัน
“สหรัฐฯ ได้ปลอมแปลงความสัมพันธ์ในการทำงานในซาอุดิอารเบีย โดยมีเจตนาที่จะใช้ปีกนโยบายต่างประเทศของมัน นั่นก็คือวะฮาบีเคร่งจารีต” เดรย์ฟัสเขียน “สหรัฐฯ ร่วมกับกษัตริย์ซาอูดและเจ้าชายไฟซาล(ต่อมาเป็นกษัตริย์ไฟซาล) เพื่อแสวงหากลุ่มอิสลามสักกลุ่มจากแอฟริกาเหนือไปจนถึงอัฟกานิสถานและปากีสถาน” ในที่สด ซาอุดิอารเบียได้เป็นเจ้าภาพของสถาบันต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสันนิบาตรมุสลิมโลกของวะฮาบี และสร้างมัสยิดและมัดรอซะฮ์หลายพันแห่ง
ข้ามต่อมาถึงยุค 1980s เมื่อครั้งที่สหรัฐฯ รวมมือกับซาอุดิอารเบียเพื่อให้ทุนสนับสนุนกลุ่มมุจาฮิดีนชาวอัฟกัน ในตำนานของชาวอเมริกัน การรุกรานของโซเวียตทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่จริงแล้ว สหรัฐฯ ให้การหนุนหลังกลุ่มภราดรภาพมุสลิมชาวอัฟกัน และตัวแทนขวาจัดอื่นๆ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว Zbigniew Brzezinski ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของคาร์เตอร์น่าจะยอมรับในเวลาต่อมาว่ามันเป็นความตั้งใจของพวกเขาที่จะกระตุ้นให้มีการรุกรานของโซเวียต
อย่างน้อยตั้งแต่ปี 1972 CIA ได้เริ่มให้เงินทุนแก่นักรบอัฟกัน ที่รวมถึงรอบบานี ซัยยัฟ และกัลบุดดีน ฮิกมัตยาร์ ผู้นำมุญาฮิดีนในอนาคต ผู้ซึ่งกลายเป็นคนสนิทกับทั้งอุษาม่า บินลาดิน และหน่วยข่าวกรองของปากีสถาน (ISI) ซัยยัฟน่าจะคนเชิญบินลาดินเข้ามาลี้ภัยในอัฟกานิสถานในปี 1996 ในยุค 1980s ความช่วยเหลือส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ และซาอุดี้ฯ ให้แก่กลุ่มมุญาฮิดีนที่นำโดยฮิคมัตยาร์ ผู้นำที่โหดเหี้ยมที่เดรย์ฟัสรายงานว่า “มีความเชี่ยวชาญ” ในการถลกหนังนักโทษทั้งเป็น
การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าวของสหรัฐฯ มีมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ซาร์ดาร์ ดาอูด ยึดอำนาจจากเชื้อพระวงศ์ที่เป็นมิตรของเขาในปี 1973 เขาฉีกประเพณีด้วยการประกาศตัวว่าไม่ใช่ชาห์แต่เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบฆราวาส แต่การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของเขา (ด้วยการรักษาระยะห่างจากทั้งวอชิงตันและมอสโก) ได้สร้างความกังวลให้กับสหรัฐฯ ซึ่งร่วมมือกับ ISI เพื่อสนับสนุนการยึดอำนาจที่ไม่ประสบผลสำเร็จในปี 1974 เช่นเดียวกับในอียิปต์ ที่สหรัฐฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักรบขวาจัดเพื่อจัดการกับรัฐบาลเอกราชแบบฆราวาส
ขณะที่รัฐบาลเอกราชหัวก้าวหน้าสายกลางของดาอูดเป็นปัญหาสำหรับสหรัฐฯ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่เป็นมิตรกับโซเวียตที่เข้ามามีอำนาจในปี 1978 ก็ถูกประณามอย่างรุนแรง CIA ได้เข้าพบและให้ทุนสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาล อัฟกานิสถานได้กลายมามีความสำคัญต่อสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นเมื่อมันสูญเสียชาห์พันธมิตรใกล้ชิดของมันในเดือนมกราคม 1979 ในเดือนกรกฎาคม ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้ทำให้ความช่วยเหลือของทางการต่อมุญาฮิดีนเป็นเรื่องของทางการด้วยโครงการที่เรียกว่าปฏิบัติการไซโคลน
ในการโค่นล้ม นายกรัฐมนตรีฮาฟิซุลลอฮ์ อามีน ได้กลายเป็นผู้นำอัฟกานิสถานหลังจากที่เขาได้ออกคำสั่งสังหารประธานาธิบดีนูร มุฮัมมัด ตากี สหภาพโซเวียตเชื่อว่า CIA ได้จัดเตรียมการยึดอำนาจครั้งนี้ ในเดือนธันวาคม กำลังทหารโซเวียตได้เคลื่อนเข้ามา สังหารอามีน และจัดตั้งผู้นำคนใหม่
ในตอนต่อมาที่ชั่วช้า ซึ่งสหรัฐฯ และซาอุดิอารเบียได้ส่งเงินผ่าน ISI เพื่อให้มุญาฮิดีนและนักรบอาหรับที่เกณฑ์เข้ามาให้เข้าร่วมกับพวกเขา เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดี แม้ว่ารายละเอียดยังคงเป็นข้อถกเถียง ซาอุดิอารเบียได้ฝากเงินหลายร้อยล้านดอลล่าร์ไว้ในบัญชีธนารของสวิสแห่งหนึ่งที่ควบคุมโดยสหรัฐฯ
กษัตริย์ซาอุดี้ฯ องค์ใหม่ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ว่าราชการริยาด เป็นนักระดมเงินทุนชั้นยอด “ให้เงินแก่มุญาฮิดีนเดือนละ 25 ล้านดอลล่าร์” หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ซ่งได้รับการชี้นำจาก CIA ในปากีสถาน ได้เป็นหัวหน้าฝึกซ้อมนักรบภายในอัฟกานิสถาน ขณะที่ทหารสหรัฐฯ ได้รับการฝึกการต่อสู้แบบอาหรับในอียิปต์ และบางรายงานข่าวอ้างว่าในสหรัฐฯ ด้วย
ด้วยการเป็นความลับทำให้ไม่มีทางรู้ได้ว่ามีการติดต่อระหว่าง CIA และบินลาดินในปากีสถานมากแค่ไหน ถ้าหากว่ามี ไม่ใช่เพราะแต่ละฝ่ายมีผลประโยชน์ในการปกปิดมัน เรารู้ว่าบินลาดินได้สร้างสัมพันธมิตรกับฮิคมัตยาร์ ผู้ได้รับประโยชน์จาก CIA มาอย่างยาวนาน และ ISI (ท่อใต้ดินของ CIA เพื่อส่งเงินและอาวุธให้แก่มุญาฮิดีน) ได้ให้การสนับสนุนองค์กรแนวร่วมของบินลาดิน และมัคตับ อัล-คิดามาร์ หัวหน้าอัล-กออิดะฮ์
ไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน เจ้าชายบันดาร์ บิน สุลต่าน แห่งซาอุดิอารเบียกล่าวว่า ในช่วงปี 1980s บินลาดินเคยขอบคุณเขาที่ได้นำ “ชาวอเมริกัน สหายของเรา มาช่วยเราในการต่อต้านอเทวนิยม ที่เขาเรียกว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์”
ในทุกกรณี สหรัฐฯ ได้ช่วยให้เกิดอัล-กออิดะฮ์ขึ้นมา เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ที่แม้แต่ฮิลลารี่ คลินตันก็ได้กล่าวถึงมัน โดยโกหกเพียงแค่เรื่องลำดับเหตุการณ์เท่านั้น :
กลุ่มคนที่เรากำลังต่อสู้ด้วยในปัจจุบันนี้ เราได้ให้ทุนสนับสนุนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และที่เราทำแบบนั้นก็เพราะว่าเราติดอยู่ในการดิ้นรนต่อสู้กับสหภาพโซเวียต พวกเขารุกรานอัฟกานิสถาน และเราไม่ต้องการจะเห็นพวกเขาเข้ามาคุมอำนาจในเอเชียกลาง เราจึงต้องทำงาน และประธานาธิบดีเรแกนกับความร่วมมือของสภาคองเกรสที่นำโดยสภาคองเกรสเองที่บอกว่า คุณรู้อะไรไหม? มันฟังดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ดีนะ เรามาตกลงกับ ISI และกองทัพปากีสถานกันดีกว่า เกณฑ์เอามุญาฮิดีนพวกนี้มาทำงานกับเรา มันเยี่ยมไปเลย แล้วเราเอาบางส่วนมาจากซาอุดิอารเบียและที่อื่นๆ ด้วย นำเข้ามุสลิมสายวะฮาบี แล้วเราจะสามารถตีโต้สหภาพโซเวียตได้
ในช่วงสงครามในอัฟกานิสถาน ตะวันตกและซาอุดิอารเบียได้ช่วยกันสร้างกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา ไม่ใช่แค่อัล-กออิดะฮ์ แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันด้วย เช่น กลุ่มนักรบอิสลามลิเบีย (Libyan Islamic Fighters Group – LIGF) กลุ่ม LIGF จัดตั้งขึ้นในภาคตะวันออกของลิเบียโดย “ชาวอาหรับอัฟกัน” กลุ่มนี้พยายามสังหารมุอัมมาร์ กัดดาฟีสามครั้งระหว่างปี 1995-96 หน่วยข่าวกรองอังกฤษให้การสนับสนุนหนึ่งในความพยายามนี้ ตามคำบอกเล่าของอดีตสายลับ เดวิด เชย์เลอร์ อดีตสายลับของหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสก็ได้ยืนยันข้ออ้างนี้ และบอกว่าความลับนี้เองที่ทำให้อังกฤษขัดขวางการจับกุมบินลาดินหลังจากกัดดาฟีได้ออกหมายจับ(และตำรวจสากลก็อนุมัติ) ในปี 1998
สหรัฐฯ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามยึดอำนาจกัดดาฟีหลายครั้งเช่นกัน เรแกนถึงขนาดพยายามสังหารผู้นำลิเบียด้วยตัวเองในปี 1986 แต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน กัดดาฟีได้กลายเป็นพันธมิตรใน “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” และสหรัฐฯ ได้ช่วยเขาปราบปรามศัตรูของเขา CIA ได้ส่งมอบอดีตสมาชิก LIGF ให้กัดดาฟี บางครั้งก็ทรมานพวกเขาก่อน
แต่เมื่อถึงเวลาที่ประชาชนลุกขึ้นก่อจลาจลในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ตะวันตกกลับมองว่ากัดดาฟีเป็นศัตรูอีกครั้ง และสหรัฐฯ ก็ให้การสนับสนุนกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่ประกอบด้วยอดีตสมาชิก LIGF ที่ร่วมต่อสู้ในฐานะขบวนการอิสลามลิเบีย (Libyan Islamic Movement) การเป็นนักรบญีฮาดขวาจัดตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นคือการได้รับการหนุหลังจาก CIA ในสงครามหนึ่ง, ถูกทรมานโดย CIA ในเวลาต่อมา และได้รับการหนุหลังอีกครั้งโดย CIA ในเวลาต่อมา มันไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ ที่จะกล่าวถึงข้อเท็จจริงว่ากองกำลังฝ่ายต่อต้านในลิเบียประกอบไปด้วยกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้
หนังสือพิมพ์ชอบที่จะจับจุดสนใจไปที่กลุ่มอื่นๆ ที่น่าดึงดูดกว่า
และมันไม่เป็นที่นิยมเช่นกันที่จะกล่าวถึงบทบาทของ CIA แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าความเกี่ยวข้องของสหรัฐฯ จำกัดอยู่แค่การโจมตีทางอากาศเท่านั้น ทว่าหกสัปดาห์หลังการประท้วงครั้งแรกๆ New York Times ได้รายงานว่า “CIA ได้ปฏิบัติการในลิเบียมาหลายสัปดาห์แล้ว ในฐานะส่วนหนึ่งของกองกำลังเงาของชาติตะวันตกที่คณะบริหารของโบมาม่าหวังว่าจะช่วยโจมตีกองทัพของนายพลกัดดาฟีได้”
การกล่าวถึงความเกี่ยวข้องของ CIA ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีกลุ่มกบฏชาวพื้นเมืองด้วย ทั้งสองสามารถมีอยู่ร่วมกันได้ และบ่อยครั้งด้วย แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ท่ามกลางความวุ่นวายและการเข่นฆ่าในลิเบียหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น กลุ่มหัวรุนแรงได้รับความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก และรวมไปถึงการที่ไอซิซค่อยๆ เข้าไปพัวพันในเมืองเดอร์นาทางตะวันออก ซึ่งทำให้เกิดนักรบต่างชาติจำนวนมากในอิรัก
การปรากฏขึ้นของไอซิซ เช่น อัล-กออิดะฮ์ พัวพันกันกับจักรวรรดิ์สหรัฐฯ มันคงไม่แรงไปที่จะระบุว่าไอซิซเป็นลูกที่เกิดจากการทำสงครามของสหรัฐฯ กับอิรัก เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐานที่มักจะหายไปจากการวิเคราะห์กระแสหลัก ขณะที่การกดขี่ชาวซุนนีอย่างรุนแรงของรัฐบาลอิรักเป็นผลดีกับไอซิซ อดีตนายกรัฐมนตรีนูรี อัล-มาลิกีก็ตกเป็นแพะรับบาปไปอย่างง่ายดาย ดังที่แพทริก ค้อคเบิร์น เขียนไว้ว่า สงครามในซีเรียนั่นเองที่นำให้อิรักไม่มีเสถียรภาพ ในทางกลับกัน ได้ทำให้ไอซิซเป็นมหาอำนาจแห่งภูมิภาค
บทบาทของสหรัฐฯ ภายในซีเรียก่อนหน้าการประท้วงปี 2011 ไม่มีความชัดเจน เป็นเพราะรายงานของ ซีมีวร์ เฮิร์ช เมื่อปี 2007 ที่ทำให้เรารู้ว่าประธานาธิบดีบุชได้ผลักดันให้ซาอุดิอารเบียปล่อยกองกำลังแบ่งแยกนิกายเข้าไปด้วยความพยายามที่จะบ่อนทำลายอัสซาดในซีเรียและฮิซบุลลอฮ์ในเลบานอน คราวนี้เป้าหมายเบื้องต้นคืออิหร่าน ไม่ใช่สหภาพโซเวียต แต่นี่คือตำราของอัฟกานิสถาน ที่ยังอยู่ในความนิยมแม้จะมีเหตุการณ์เข้ามาแทรกในโลเวอร์แมนฮัตตัน
ส่วนหนึ่งของความพยายามนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ผูกสัมพันธ์กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิมซีเรีย แผนนี่ประกอบด้วยปฏิบัติการแอบแฝงในซีเรีย แต่เราไม่รู้ว่าส่งผลหรือมีอิทธิพลอย่างไรบ้างต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในปี 2011 หรือต่อห่วงโซ่ของเหตุการณ์ที่ทำให้การลุกฮือของประชาชนกลายเป็นสงคราม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับการปฏิวัติในซีเรียเป็นเรื่องที่ถกเถียงกัน อย่างไรก็ตาม เราน่าจะเห็นด้วยได้ว่าการลุกฮือของประชาชนหัวก้าวหน้าจำนวนมากนั้นทำให้เกิดปฏิกิยาตอบโต้อย่างกว้างขวางเมื่อรัฐบาลซีเรียทำการปราบปรามฝ่ายซ้าย และกลุ่มหัวรุนแรงที่ได้รับการหนุนหลังจากต่างชาติได้กรูกันเข้ามา
กิลเบิร์ต แอชการ์ ที่อธิบายตัวเองว่าเป็น “ผู้สนับสนุนการลุกฮือของประชาชนอย่างแรงกล้าและต่อเนื่อง” กล่าวว่า ฝ่ายต่อต้านได้ทำความผิดมหันต์เมื่อไปผูกสัมพันธ์กับกลุ่มภราดรภาพมุสลิม “ซึ่งเป็นขี้ข้าของตุรี กาต้าร์ และสหรัฐฯ” ด้วยเหตุนั้น พวกเขา “จึงถูกดูดเข้าไปสู่ความคลั่งไคล้ในทางเสื่อมของความสุดโต่งทางศาสนาที่นำไปสู่การจัดตั้งไอซิซ”
สหรัฐฯ สนับสนุนการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลซีเรียถึงขนาดให้ไอซิซเข้ามาอยู่ประจำที่ นโยบายสหรัฐฯ เป็นนโยบายที่ประมาทไม่รอบคอบที่สุด เรามั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันตระหนักดีถึงการเกิดขึ้นของไอซิซ พวกเขายอมรับมันในอิรัก (ประเทศที่พวกเขาต้องการจะยุติและมีประธานาธิบดีที่พวกเขาไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไป) และเห็นชอบกับมันในซีเรีย (ประเทศที่พวกเขาต้องการทำลายและมีประธานาธิบดีที่พวกเขาต้องการกำจัดหรืออย่างน้อยทำให้อ่อนแอ)
ด้วยปัจจุบันไอซิซเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของประชาชน มันอาจเป็นการง่ายที่จะลืมเรื่องนั้นไปสักพัก จนกว่าไอซิซจะกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่พอต่อผลประโยชน์ของอเมริกา อาวุธของสหรัฐฯ ทั้งทางคำพูดและการกระทำ ถูกเล็งไปที่รัฐบาลซีเรียเท่านั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวปราศรัยครั้งสำคัญเกี่ยวกับซีเรียโดยไม่ได้กล่าวถึงไอซิซเลย
การสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงของซาอุดี้ฯ, กาตาร์ และตุรกี ได้รับการหนุนหลังอย่างน้อยก็โดยปริยายจากวอชิงตัน เอกสารที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้ยืนยันว่า หน่วยข่าวกรองของตุรกีได้จัดหาอาวุธให้อัล-กออิดะฮ์ในซีเรียก่อนที่มันจะแยกออกจากไอซิซ การที่โจ ไบเด็น ออกมาตำหนิพันธมิตรของสหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2014 ที่ให้การสนับสนุนไอซิซและอัล-กออิดะฮ์นั้นเป็นเพียงการบรรเทาความอึดอัดของการนิ่งเงียบหลายเดือนก่อนหน้านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ เองยังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับไอซิซ ทั้งประธานาธิบดีโอบาม่าและนักวิจารณ์ของเขาในขณะนี้มีความสนใจในการผลักดันเรื่องเล่าที่ว่า เขาให้การสนับสนุนนักรบฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเพียงเล็กน้อย ที่จริงแล้ว มันเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ที่ CIA ได้ฝึกฝนกองกำลังฝ่ายต่อต้านและมอบอาวุธให้พวกเขาทั้งที่เป็นของสหรัฐฯ และพันธมิตร อาวุธเหล่านั้นจำนวนมากได้ตกไปอยู่ในมือของไอซิซและอัล-กออิดะฮ์
นี่คือกองพลน้อยยาร์มูค ส่วนหนึ่งของกองทัพปลดปล่อยซีเรียที่สหรัฐฯ หนุนหลัง
วีดิโอหลายชุดแสดงให้เห็นว่ากองพลน้อยยาร์มูลได้ทำการต่อสู้ร่วมกับ JAN แนวร่วมอย่างเป็นทางการของอัล-กออิดะฮ์ เมื่อมันน่าจะเป็นไปได้ว่า ระหว่างการต่อสู้ ทั้งสองกลุ่มนี้อาจจะใช้อาวุธร่วมกัน วอชิงตันก็ยินยอมให้จัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ศัตรูตัวฉกาจของมัน
ผู้ที่ตำหนิความอ่อนหัดของสหรัฐฯ โต้แย้งอย่างได้ผลว่าเจ้าหน้าที่อเมริกันไม่รู้ข้อมูลสาธารณะที่แสดงให้เห็นว่า มันเกือบจะเป็นที่แน่ชัดว่าอาวุธนั้นอาจจะไหลไปยังอัล-กออิดะฮ์และไอซิซ พวกเขาต้องการจะส่งอาวุธให้กับศัตรูของพวกเขาหรือ? หรือพวกเขาแค่ยอมรับมัน? แล้วสุดท้ายมันต่างกันอย่างไร?
และกองทัพปลดปล่อยซีเรีย ซึ่งจนถึงขณะนี้ดำรงอยู่เป็นเสมือนตัวเชื่อมโยงที่ประกอบไปด้วยกลุ่มขวาจัดมากมายหลายกลุ่ม ตอนนี้สื่อกระแสหลักยอมรับแล้วว่าพวกแบ่งแยกนิกายขวาจัดได้เข้ามามีอำนาจในฝ่ายต่อต้าน แต่มันเป็นอย่างนี้มาช่วงหนึ่งแล้ว Nir Rosen ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนในการวิจัยสงคราม ระบุต่อไปว่า “ไม่มีกลุ่มกบฏสายกลางจริงๆ ไม่ว่าในทางอุดมการณ์หรือในทางปฏิบัติของพวกเขา” ที่จริงแล้ว นักรบของกองทัพปลดปล่อยซีเรีย (FSA) ได้เข้าร่วมกับไอซิซและอัล-กออิดะฮ์
สหรัฐฯ อ้างว่าตอนนี้มันได้ทิ้ง FSA แล้วเพื่อเห็นแก่กองทัพตัวแทนของมันเอง ขณะที่สหรัฐฯ ร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาหรับเพื่อฝึกฝนนักรบ นโยบายของมันในซีเรียมีความเหมือนกันกับนโยบายในอัฟกานิสถานในสมัย 1980s
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คงจะให้เห็นว่า ไอซิซเป็นเป้าหมายของกองกำลังนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองยังคงเป็นเป้าหมายหลักของหุ้นส่วนของพวกเขา และในหลายกรณีผลที่ออกมาชัดเจนว่า สงครามดำเนินต่อไป ซีเรียก็กระจัดกระจายต่อไป ดูเหมือนตอนนี้สหรัฐฯ จะพอใจกับการแบ่งแยกทางพฤตินัยที่จะทำลายความเป็นปึกแผ่นทางดินแดนของรัฐซีเรียมากกว่า
เพื่อการสร้างกองกำลังตัวแทนใหม่ขึ้นมา ประธานาธิบดีโอบาม่าได้กดดันสภาคองเกรสหลายครั้งให้ยกเว้นการทำสงครามกับไอซิซของเขาจากการห้ามไม่ให้สนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ทรมานและอาชญากรสงครามอื่นๆ ขณะที่มันดูแปลกๆ ที่เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องยอมรับกฎหมาย Leahy Law การที่เขาทำเช่นนั้นบ่งบอกถึงประเภทของกองกำลังที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจะส่งเข้าไปในซีเรีย
พวกเขาบอกนักรบ “สะอาด” ยากที่จะยอมรับได้ ไม่ต้องสงสัย แต่ความจริงก็คือ เจ้าหน้าที่อเมริกาอาจจะต้องการเปิดตัวนักฆ่าที่โหดเหี้ยมมากที่สุด เหมือนกระบวนการสนับสนุนมุญาฮิดีนในอัฟกานิสถานของพวกเขาในสมัย 1980s ก็ได้ และในอีกหลายปีข้างหน้า เมื่อกองกำลังที่รัฐบาลของเราสร้างขึ้นมานี้ได้ผสานเข้ากับไอซิซและหันมาเข่นฆ่าพลเมอืงอเมริกา เราก็จะเดินขบวนกันรอบธง คร่ำครวญถึง “ความป่วยไข้” ในอิสลาม และส่งเสียงเชียร์เมื่อระเบิดตกลงมา
—-
โดย เดวิด มิซเนอร์
ที่มา http://muslimmirror.com
แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์