งานวิจัยชี้ – อาหารส่วนมากที่ผลิตจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นภัยต่อสุขภาพ!

368

งานศึกษา ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน JAMA Internal Medicine แนะนำว่า  ถ้าคุณต้องการจะดำรงพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพในสหรัฐอเมริกา คุณอย่าได้คาดหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะช่วยคุณได้ในเรื่องนี้ เพราะความเป็นจริง นอกจากรัฐบาลจะไม่ช่วยคุณให้ได้รับสารอาหารที่ปลอดภัยแล้ว อาหารส่วนมากที่ผลิตมาจากเงินอุดหนุนของรัฐบาล ก็มักถูกนำไปแปรรูปอย่างหนักหน่วง โดยที่ส่วนประกอบของอาหารเหล่านั้น อาจอุดมไปด้วยสารพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างชัดเจน แทนที่จะเป็นสารอาหารซึ่งให้ประโยชน์แก่ร่างกายของมนุษย์ 

นักวิจัยจากศูนย์ศึกษาเพื่อควบคุมและป้องกันโรค และสถาบันวิจัยอื่นๆ ได้ร่วมกันวิจัย โดยมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่ชาวอเมริกัน 10,000 คนรับประทานต่อวัน จากรายงานที่มีอยู่ ตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปี 2006 พวกเขาได้คำนวณหาปริมาณอาหารที่มาจากการสนับสนุนของรัฐบาล ซึ่งชาวอเมริกันกลุ่มดังกล่าวได้รับประทาน เหล่านี้ประกอบด้วย ธัญพืช อาทิเช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าว ข้าวฟ่าง รวมไปถึงอาหารประเภทที่ทำมาจากนม และปศุสัตว์

ขณะที่อาหารเหล่านี้อาจฟังดูเป็นอาหารจำพวกที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ทว่าชาวอเมริกันกลับไม่ได้รับประทานมันในรูปแบบเดิมของอาหารชนิดนั้นๆ อาหารเหล่านี้ถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับให้อาหารสัตว์ หรือ ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของสารให้ความหวาน (เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพดไซรัปที่มีสารฟรุคโตสสูง) และอาหารแปรรูปจำพวกที่มีไขมันสูง

ในสหรัฐฯ และอีกหลายๆแห่ง เงินอุดหนุนส่วนเกินเหล่านี้จะถูกนำไปสู่กระบวนการแปรรูปผลิตผล เป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ธัญพืชแปรรูป และน้ำผลไม้แคลอรี่สูง น้ำอัดลมที่มีสารให้ความหวานจากข้าวโพด และเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง” Dr. Ed Gregg หัวหน้าสาขาวิทยาการระบาดและสถิติ ประจำศูนย์ศึกษาเพื่อควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ในแผนกโรคเบาหวานกล่าว “โดยพื้นฐานแล้ว ความเคยชิน (ในการบริโภค) ของพวกเขา คือ สิ่งที่ให้ผลเป็นอันตราย”

และถึงแม้ว่า อาหารเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลแนะนำ อย่างจำเพาะเจาะจงให้ประชาชนรับประทาน พร้อมด้วยคำแนะนำทางโภชนาการอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม นี่คืออาหารที่รัฐบาลกำหนดให้มีราคาถูก ตามนโยบายของรัฐ

ผู้เขียนบทวิจัยดังกล่าว ยังชี้ว่า จำนวนแคลอรี่มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันรับประทานมาจากจำพวกอาหารที่ผลิตมาจากเงินสนับสนุนของรัฐบาล ในงานศึกษาก่อนหน้านี้ของทางกลุ่มวิจัยพบว่า วิธีการบริโภคที่เต็มไปด้วยอาหารจากเงินสนับสนุนของรัฐบาล อุดมไปด้วยอาหารประเภทที่ผลิตมาจากนม ปศุสัตว์ และที่ให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ขณะที่มีปริมาณผัก-ผลไม้ และอาหารที่มีคุณภาพโดยรวมน้อยเป็นอย่างมาก – ขณะที่วิธีการบริโภคเช่นนี้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นสิ่งที่ดีกับสุขภาพพลานามัยของประชาชน

นอกจากนี้ กลุ่มนักวิจัยยังพบว่า คนหนุ่มสาว ผู้มีฐานะยากจน และคนที่มีการศึกษาน้อย กินอาหารที่ผลิตมาจากเงินอุดหนุน จำนวนมหาศาลต่อวัน

ผู้เขียนบทวิจัยเหล่านี้ จึงได้เพ่งการศึกษาไปยัง ความเชื่อมโยงระหว่าง พฤติกรรมการบริโภคเช่นนี้ และดูว่ามันส่งผลสัมพันธ์ทำให้พวกเขามีค่าดัชนีมวลกายที่สูง ความดันโลหิตสูง และเครื่องบ่งชี้จากเลือดที่แสดงถึงอาการอักเสบต่างๆ และโคเลสตอรอลที่สูง รวมถึงปัจจัยอื่นๆทั้งหมดที่นำไปสู่โรคร้าย หรือไม่ อย่างไร

เมื่อเทียบกับคนที่บริโภคอาหารที่ผลิตมาจากเงินอุดหนุนของรัฐบาลน้อยที่สุด พบว่า คนที่รับประทานมากที่สุด จะมีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนสูงกว่าถึง 37% และเสี่ยงต่อการมีไขมันหน้าท้องมากกว่า 41% เสี่ยงต่อการมีอาการของการอักเสบต่างๆมากกว่า 34% และเผชิญความเสี่ยงที่จะมีคอเลสเตอรอลมากผิดปกติอีกกว่า 14%

ในสหรัฐฯ ในการรักษาโรคประเภทนี้จะต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 150,000 ล้านเหรียญต่อปี ขณะเดียวกัน อาหารจำพวกที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้ ก็ไม่ได้มีราคาที่ถูกเช่นกัน

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลสหรัฐฯเจาะจงผลิต และสร้างกลไก แม้กระทั่งการล็อบบี้ และการทุจริตร่วมกับบรรดานายทุน เพื่อให้อาหารจำพวกนี้จำหน่ายอยู่เกลื่อนตลาด และราคาถูก ทั้งนี้เป็นไปเพื่อทำให้ชาวอเมริกันประสบกับปัญหาสุขภาพ และเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ในความต้องการล่อเลี้ยง “ธุรกิจ” ทางการแพทย์และยา ในการบังคับเชิงนโยบาย ให้ชาวอเมริกันจำเป็นต้องซื้อ และบริโภคยาที่อาจมีราคาสูง ตลอดช่วงชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้น หากสหรัฐฯต้องการพัฒนาปรับปรุง สุขภาพของประชาชนอย่างจริงจัง สหรัฐฯจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการผลิตอาหารเหล่านี้ ผู้เขียนบทวิจัยแนะ “เราจำเป็นต้องเริ่มต้นคำนึงถึงวิธีหลักในการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรารับประทาน” Gregg กล่าว

หนึ่งในนโยบายที่มีศักยภาพในการรองรับความต้องการนี้ อาจจะเป็นการเปลี่ยนเงินอุดหนุนทางการเกษตร ไปสู่การผลิตพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่นผักและผลไม้” – ผู้เขียนระบุ การลดต้นทุนต่อแคลอรี่ของอาหารเพื่อสุขภาพ จะช่วยให้ผู้คนมีโอกาสรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

Source: time.com

By Mandy Oaklander